วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

Final S.F. Awards: KTC โกดัก ฮุนได และพรรคประชาธิปัตย์

ในที่สุดก็มาถึงตอนสุดท้ายกันของ S.F. Awards หรือ Sometimes Fail Awards

กับ 4 อันดับสุดท้าย มาเริ่มกันเลยครับ...


อันดับที่ 7: รางวัลแบรนด์เสน่ห์ที่หายไป

ได้แก่ ..... แต่น แตน แต้น ..... KTC ครับ
KTC ย่อมาจาก Krung Thai Card <บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)> กำเนิดเมื่อปี 2545 โดยธนาคารกรุงไทย ในช่วงนั้นถือว่าเป็นธนาคารใหญ่ที่บุกตลาดบัตรเครดิตเป็นเจ้าแรกๆ ซึ่งผู้บริหารนั่งประชุมเคาะกันว่า ถ้าบริหารโดยธนาคารกรุงไทยอาจจะมีปัญหาเรื่องขั้นตอนการทำงานที่ไม่รวดเร็วและภาพลักษณ์ที่ค่อนข้างออกไปทางแก่ มีอายุ จึงตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมา และจ้างบรรดาพนักงานจากเอเจนซี่ชื่อดังต่างๆ เข้ามาทำงานเป็นจำนวนมาก... ผลที่ได้คือ KTC เกิดอย่างแรง !!! 


ที่เห็นชัดในช่วงแรกก็เป็นเจ้าบัตร KTC Mini ที่มีรูปร่างเล็กกว่าบัตรเครดิตทั่วไป (เค้าว่าใช้งานกับเครื่องรูดยาก แต่คนไทย ถ้าสร้างอารมณ์ความเท่ ความทันสมัย ความชอบได้ จะผิดยังไง ก็ให้อภัยได้ครับ)


อีกตัวที่แรงมากๆ ในยุค 10 ปีที่แล้วคือ KTC I am (บัตรเครดิตของกลุ่ม Gays โดยเฉพาะ)




ได้ข่าวว่า บัตรนี้ ไปไม่ค่อยสวย เพราะกลุ่มเกย์จริงๆ แล้วไม่ต้องการแสดงออกมากนัก แต่เรื่องภาพลักษณ์ความแนวละก็ ได้ใจไปเต็มๆ

และก็ Ads ตัวที่ Impact มากๆ ของ KTC "รักไม่รู้ดับ"


ที่เล่ามาดูเหมือน KTC จะเป็นตำนานด้วยซ้ำ !!!

ซึ่งผมก็ว่าจริง KTC เป็น Case Study ที่น่าศึกษา ทั้งต้นกำเนิด การบริหารงาน วัฒนธรรมองค์กร หลักการทำตลาด...

แต่ในช่วง 2 - 3 ปี ที่ผ่านมานี้เอง ที่ธนาคารยักษ์ใหญ่ทั้งสีม่วงและสีเขียว เข้ามารุกตลาดบัตร Credit หนักมาก

ทั้ง SCB และ Kbank ต่างทุ่มหมดหน้าตัก กับการลุยตลาด "ลด แลก แจก แถม" ที่ดูยังไงก็น่าจะขาดทุนจากแคมเปญจัดหนักต่างๆ ที่ทำ

แต่ก็อยู่ที่มุมมองครับ ท่ามองว่าบัตรเครดิต คือเครื่องมือที่ใช้ในการทะลุทะลวงเข้าหากลุ่มรายย่อยที่มีกำลังซื้อ (หรือกำลังกู้) ก็ถือว่าได้ผลทีเดียว เพราะมักจะตามมาด้วย Product อื่นๆ ของธนาคารอีกมากมาย เช่น สินเชื่อรายย่อย สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อบ้าน ฯลฯ

KTC ที่วันนี้ กลับนิ่งๆ ไม่รุกมาก แต่ก็ไม่ถึงกลับถอยหลังเข้าคลอง... นานวันเข้าๆ ภาพลักษณ์ดูจะไม่เท่ เหมือนแต่ก่อน... ถ้าเทียบกับของคู่แข่ง... ทำให้ดูขาดเสน่ห์ไปเยอะเลยทีเดียว

ซึ่งก็ถือว่าเหมาะกับรางวัลแบรนด์เสน่ห์ที่หายไปครับ...

ปล. ก็ขอเอาใจช่วยให้ KTC กลับมาโดดเด่น มีเสน่ห์เหมือนแต่ก่อน อย่ารอจนถึงวันที่สายเกินแก้เลยครับ... 


อันดับที่ 8: รางวัลแบรนด์พลาดมาก... ถึงมากที่สุด

ได้แก่ ..... แต่น แตน แต้น ..... โกดัก ครับ
โกดักถือกำเนิดมาตั้งแต่ปี คศ 1880 (หรือปี พศ 2423) ที่อเมริกา... ถึงตอนนี้ก็ 132 ปีเต็ม 

ถ้าเป็นยุคราวๆ 20 ปีที่แล้ว การถ่ายรูปยังใช้ฟิล์มเป็นหลัก... กล้องดิจิตอลยังไม่เข้ามาแทนที่...

โกดักเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งมาก ขยายไปทั่วโลก... คิดง่ายว่าๆ ถ้าใครจะถ่ายรูป คนนั้นก็คือ ลูกค้าของโกดักแล้ว !!!


แต่พอมาถึงวันนี้ บริษัทต้องยื่นล้มละลายต่อศาลอเมริกา เพราะขาดทุนอย่างหนัก... ใกล้ปิดตำนานโกดัก เข้าไปทุกที

สาเหตุหลักที่โกดักผิดพลาดมากถึงมากที่สุดก็คือ การไม่ยอมรับในเทคโนโลยีกล้องดิจิตอล... 
ตำนานเล่าขานกันว่า มีหลายบริษัทที่พยายามนำเสนอเทคโนโลยีการถ่ายภาพดิจิตอลต่อโกดัก... แต่โกดักไม่แยแส เพราะคิดว่าเทคโนโลยีนี้ จะไม่เกิด... บริษัทยังคงขายฟิล์มถ่ายรูปต่อไป... โดยไม่มีการเตรียมรับมือกับภาพถ่ายดิจิตอล... แล้ววันที่ตลาดกล้องดิจิตอล เกิดเต็มตัว... แบรนด์โกดักก็ถูกมองเป็นคนแก่ หัวดื้อ ไปเลยทันที

สิ่งที่พลาดมาก... ถึงมากที่สุด คือการที่เชื่อมั่นในแบรนด์ตนเอง ผลิตภัณฑ์ตนเอง โดยไม่มองเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ 

เข้าตำราเดียวกับรถยี่ห้อ Ford ที่เกือบเอาตัวไม่รอด จากการรุกตลาดของรถญี่ปุ่น (Ford ไม่เคยเชื่อว่า รถญี่ปุ่นจะตีตลาดโลกได้... เพราะคิดเสมอว่า รถญี่ปุ่น ไม่มีเรื่องราว ไม่มีตำนาน ไม่เท่อย่าง Ford - รวมๆ ก็ประมาทและดูถูกคู่แข่งนั้นแหละครับ)
ซึ่งทั้ง โกดัก และ Ford มีความคิดที่คล้ายกันคือ ประมาทและไม่ยอมรับต่อสิ่งใหม่... โชคดีที่ Ford กลับตัวกลับใจทัน หันมาผลิตรถยนต์ครอบครัว ประหยัดน้ำมัน ที่ผู้บริโภคต้องการ... แต่โกดัก กลับตัวไม่ทันมาถึงวันนี้ก็... 

กลายเป็นแบรนด์ที่พลาดมาก... ถึงมากที่สุด ไปซะแล้ว !!!

ปล. ห้ามประมาทต่อคู่แข่ง สินค้าทดแทน (Substitute Products) และความต้องการของผู้บริโภค... ถ้าบริษัทไหน แบรนด์ใด ไม่เชื่อ... ก็ขอให้ดูโกดัก เป็นตัวอย่างครับ 


อันดับที่ 9: รางวัลแบรนด์ขุนไม่ขึ้น

ได้แก่ ..... แต่น แตน แต้น ..... ฮุนได ครับ

Hyundai หรือฮุนได เป็นแบรนด์รถยนต์จากประเทศเกาหลีใต้ เข้ามาทำตลาดในไทยมานานแสนนาน แต่ก็ไม่เคยนั่งอยู่ในใจของผู้ใช้รถหรือผู้ที่กำลังคิดจะใช้ส่วนใหญ่ได้เลย...
ต่างจากประเทศอื่นๆ อย่างชัดเจน เช่น ที่ออสเตรเลีย ฮุนไดถือว่าเป็นรถยนต์ที่ดูดีมาก... เป็นสปอนเซอร์หลายรายการ รวมถึงผู้คนใช้กันเยอะมาก (คล้ายๆ กับโตโยต้า บ้านเรา)...

แต่ทำไมในไทย ฮุนไดถึงเป็นแบรนด์ที่ขุนยังไง ก็ขุนไม่ขึ้น... จะ Re-Launch กี่ครั้ง... ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

เท่าที่ผมหาข้อมูลและวิเคราะห์ได้ ตลาดรถบ้านเรา (รถบ้านทั่วไป ไม่รวมรถหรู) มีปัจจัยประกอบความสำเร็จดังนี้

1.) มือสองขายได้ราคาดีไหม
2.) มีอู่ซ้อมเยอะไหม และอะไหล่แพงไหม
3.) การยอมรับในสังคม
4.) ราคาขาย เทียบกับยี่ห้ออื่นๆ 
5.) การออกแบบ Design 

ทั้งหมดที่ผมกล่าวมา ฮุนได ไม่เข้าสักข้อเลย เมื่อเทียบกับ Toyota และ Honda รวมถึง Nissan และ Mitsubishi...

ถ้าจะบอกว่าตลาดบ้านเราแข่งขันกันสูง Toyota กับ Honda เป็นเจ้าตลาด เจาะยากก็ไม่ได้ เพราะมีแบรนด์ที่พิสูจน์ตัวเองไปแล้ว เช่น Mazda และ Chevrolet ที่ทำตลาด บุกโฆษณา ปรับรูปลักษณ์ให้ทันสมัย มี Design... จนวันนี้ ขายดี เทน้ำ เททา

ดังนั้นฮุนไดก็ถือว่าเหมาะสมกับรางวัลแบรนด์ขุนไม่ขึ้น จริงๆ ครับ... 
แต่ผมว่าขุนไม่ขึ้นเพราะ "คนทำ" มากกว่าจะไปโทษ "แบรนด์" เพราะประเทศอื่นเค้า ยอดขายถล่มทลาย !!!

ก็คิดเอาครับ... ขนาด K-POP ที่กำลังแรง !!! ก็ไม่เอามาทำอะไรเลย ทั้งๆ ที่เป็นแบรนด์เกาหลีแท้ๆ

Mitsubishi แบรนด์ญี่ปุ่นพันธ์แท้ ยังเกาะกระแสไปกับ K-POP เลยครับ (มิตซูบิชิ มิราจ กับ นิชคุณ วง 2pm) 
ที่เห็นฮุนไดยอมลงทุนควักตังค์ ก็มีแต่กับงาน Motor Show 
แต่งานนี้ต่อจะให้ใช้พริตตี้กี่ชุด ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง... (แต่ก็ขอชม Costume ครับ ชุดสีเข้มใช้ได้เลย อิอิ)
ถ้าจะทำการตลาดกันเฉพาะหน้าอย่างเดียว... ก็อย่าทำดีกว่าครับ... เสียดายแบรนด์ !!!

ปล. พึ่งระลึกไว้เสมอครับว่า "คนสร้างแบรนด์ มิใช่แบรนด์สร้างคน" จำกันไว้ให้ดีครับ พี่น้อง...


อันดับที่ 10: รางวัลแบรนด์ตกต่ำแห่งยุค

ได้แก่ ..... แต่น แตน แต้น ..... พรรคประชาธิปัตย์ ครับ

จริงๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบพรรคประชาธิปัตย์... พรรคนี้มีประวัติยาวนานที่สุด ตั้งแต่ปี 2489 ถึงวันนี้ รวมเป็นเวลา 66 ปี... มีคนดี มีคนซื่อสัตย์ มีคนต้นแบบให้ยึดเป็นแนวทางมากมาย จากพรรคนี้...
แต่ว่าหลังๆ ตั้งแต่เป็นรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์... ภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือแบรนด์ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นแบรนด์คนดี คนซื่อสัตย์... ตกต่ำลงไปอย่างน่าใจหาย
จะด้วยเรื่องอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเหลือง จะแดง หรืออย่างอื่น... ความขลังที่คนยุคก่อนๆ สร้างมา แทบจะหายหมดในสายตาของคนรุ่นใหม่ !!! 

จริงๆ แล้วความตกต่ำ เริ่มจากตัวบุคคล... และลามไปถึงการมองภาพใหญ่คือ พรรค !!!

กลายเป็นพรรคดีแต่พูด ค้านทุกอย่าง ไม่มีความคิดสร้างสรรค์... ภาพแบรนด์ประชาธิปัตย์ถูกผลักให้่ไปอยู่ในฝั่งของ Loser ตลอดกาล

จะทำยังไง ให้แบรนด์ดีขึ้น... จริงๆ คำตอบก็เหมือนแบรนด์อื่นๆ ที่กล่าวไปแล้ว นั่นแหละครับ...

ยอมรับความจริง ไม่ดูถูกคู่แข่ง เข้าใจประชาชน (ทั้งประเทศนะครับ ไม่ใช่เฉพาะกลุ่ม)
- หันมาตั้งใจ สร้างผลงานที่เป็นรูปธรรม (นโยบายดีๆ นโยบายช่วยเหลือคน)
- มีความคิดสร้างสรรค์ และเลิกพฤติกรรมที่ติดลบในสายตาผู้คน (กัด จิก ด่า)

ที่เหลือก็หาคนทำการตลาด สื่อสารดีๆ... แบรนด์ก็น่าจะกระเตื้องขึ้นครับ 

ปล. เป็นห่วงจริงๆ ครับ พรรคนี้... อยากให้เป็นพรรคธรรมะ อยู่คู่สังคมไปเรื่อยๆ... ไม่อยากให้กระแสตีกลับ กลายเป็นพรรคธรรมดา จะมีหรือไม่มีก็ได้ในสายตาสังคมไทย 
.
.
.
ก็ขอจบการนำเสนอรางวัล S.F. Awards หรือ Sometimes Fail Awards 10 อันดับ แต่เพียงเท่านี้ครับ

และก็ขอขอบคุณท่านผู้อ่าน ที่ติดตามกันมาทั้ง 3 ภาค คร้าบบบบ ^^


ติดตามบทความของผมต่อได้ทุกวันที่... 



วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

Celebs ออนไลน์... 5 ซุปตาร์ในวงการ

ก่อนจะไปจบกับภาค 3 ของ S.F. Awards หรือ Sometimes Fail Awards...

เรามาดูรับชมสิ่งที่น่าสนใจกันก่อนครับ นั่นก็คือ... Celebs ออนไลน์ ครับ

เพื่อนๆ เชื่อกันไหมครับว่า ตอนนี้ในบ้านเรามีคนที่ดังเพราะ... Facebook, Youtube และ Social Network อื่นๆ อยู่พอสมควร... ดังจนถึงขั้นเรียกว่าเป็น Celebs เลย มีคนติดตามเป็นแสนๆ... 

"Celebs ออนไลน์" นิยามที่เหมาะสมคือ "คนที่ดังจริงๆ มีคนติดตามเป็นจำนวนมาก และมีผลงานอย่างต่อเนื่อง ในโลกออนไลน์"

ซึ่งผมได้แบ่งแนวออกเป็น 2 หมวดใหญ่ๆ คือ 

1. หมวดน่ารัก เซ็กซี่
2. หมวดฮา

ขอนำเสนอ "ซุปตาร์ของวงการ 5 ท่าน" ที่ดังและคาดว่าจะดังต่อไปเรื่อยๆ ครับ

มาเริ่มกันที่ หมวดน่ารัก เซ็กซี่ ก่อน... 

1.)  น้องจ๊ะเอ๋ Krisana Kongkakate  ด้วยยอดผู้ติดตามล่าสุด 534,000 คน 
ด้วยความสวย + น่ารัก + เซ็กซี่ หนุ่มๆ เลยติดตามกันเยอะที่สุด ครึ่งล้านเลยนะครับ (โอ้วววว แบรนด์ทั้งหลายคงต้องไปศึกษากันแล้วละครับ ว่าทำยังไงเนี้ย)

และก็มีแฟนคลับจัดคลิปให้ มาดูกัน... (ดูแล้ว เพลินใช้ได้เหมือนกันครับ ^^)


2.) น้องเอมมี่ - สุนันทา เดวา ด้วยยอดผู้ติดตามล่าสุด 473,000 คน 

ด้วยความน่ารัก สดใส เลยเกิดกระแส หนุ่มๆ เทใจ ให้อย่างเต็มที่ ทุกๆ โพส จะมีคนมาเข้ามาคลิ๊ก Like หลักพัน หลักหมื่น 
แถมท้ายด้วย... คลิปจากตัวจริง เสียงจริงครับ... เอิ่ม น้องร้องเพลงเพราะนะครับเนี้ย



3.) น้องเนย ประมาณนั้นแหละ ด้วยยอดผู้ติดตามล่าสุด 405,000 คน 
น้องเนยจะออกแนวเซ็กซี่ + กวนทีนสุดๆ (ดูได้จากคำพูดที่ใช้ครับ) แต่หนุ่มๆ ก็เทใจให้กับน้องเนยอย่างมากมาย... ไม่ต้องสงสัยครับ มาดูรูปพวกนี้กัน
ผลงานล่าสุดของน้องเนย... ก็ทะลุโลกออนไลน์ ออกไปซอย ซอย ซอย กับพี่โจ้ หรือ โจอี้ บอย ซะแล้ว (คนไหน ลองหาดูครับ... หาไม่ยาก)



ก็จบกันไปกันหมวดแรกนะครับ เราก็มาต่อกันด้วยหมวดสุดฮา...

4.) พี่บี้ เดอะสกา (Bie The Ska) ด้วยยอดผู้ติดตามล่าสุด 509,776 คน 

พี่บี้ เดอะสกา ผมรู้จักเค้าครั้งแรก... จากการล้อเลียนเพลง Gangnam Style... ตอนนี้ 3 ล้านกว่าวิวแล้ว สุดยอด...



ผมประทับใจมากกับความตั้งใจ + ความบ้า ของเค้า... ชอบตรงเล่นน้ำหน้าพารากอนนี่แหละ 555+

และยังมีคลิปอื่นๆ ที่สนุกสนาน ฮาได้ใจ อีกมากมาย (จริงๆ ผมว่า พี่เค้าทำได้ดี กับการล้อเลียน MV ครับ)



ดังขนาดไปออกรายการ TV ละกัน...



5.) ออกพญาหงส์ทอง ด้วยยอดผู้ติดตามล่าสุด 112,026 คน 
สำหรับออกพญาฯ เป็นแนวฮา + เสียดสีสังคมที่สุดยอดเลย สำหรับยอดผู้ติดตาม 1 แสนกว่าคน ไม่ธรรมดาจริงๆ

ออกพญาฯ ถ้าใครเคยอ่านจะเห็นว่า เค้ามีความตั้งใจดีในการรักษาไว้ ซึ่งภาษาไทย ไม่ให้ผิดเพี้ยนไปกันใหญ่... ถึงขนาดออกรบกับภาษาสก็อย เลยทีเดียว... ลองอ่านดูครับ ฮาดี


แล้วก็หักมุมด้วยการร่วมหอกันซะงั้น...
ซึ่งเรื่องราวของออกพญาฯ ก็จะเน้นไปทางแซวสังคม ให้เกิดแง่คิดในรูปแบบแปลกใหม่... ใครอยากรู้ลองไปติดตาม Facebook ดูครับ (ทีเด็ดอยู่ที่ไม่รู้ว่าเค้าเป็นใครนี่แหละ ยังกะซ้อเจ็ด !!!)

.
.
.
ก็ขอจบการนำเสนอ Celebs ออนไลน์ของเราแต่เพียงเท่านี้ครับ...

หากลองวิเคราะห์ดูแล้วก็จะเห็นว่าไม่ได้แตกต่างกับ Celebs ของจริงเท่าไหร่ ที่คนมักจะชื่นชอบความสวย น่ารัก เซ็กซี่ และฮา... แต่จุดสำคัญมันอยู่ที่ทำยังไงให้คนรู้จักและเกิดกระแสมากกว่า...

ซึ่งผมพอสรุปได้ 3 ประเด็นครับ

1.) มีความแตกต่าง เช่น มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง และสามารถเป็น First Claimer หรือประกาศเอกลักษณ์แนวนี้ เป็นคนแรก (ใครจะมาใช้ซ้ำ... คนก็จะไม่ค่อยจำหรือสนใจ)
2.) มีผลงานต่อเนื่อง... และต้องเจ๋งจริง จนเกิดการส่งต่อเองจากเพื่อนสู่เพื่อน และขยายวงไปเรื่อยๆ
3.) ไม่มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวในช่วงแรกๆ ที่ทำ... คนเรามักจะไม่ชอบถูกหลอกว่า สุดท้ายก็คือ โฆษณา เพราะฉะนั้น ช่วงแรกห้ามหาผลประโยชน์เด็ดขาด... เชื่อผมครับ รอดังก่อน จะทำอะไรค่อยทำ
.
.
.
แล้วเจอกันครับ ประมาณนี้ (พี่ชาย น้องเนย ประมาณนั้น... 555+)

Wikran M.

ติดตามบทความของผมต่อได้ทุกวันที่... 




วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

โออิชิ วุฒิศักดิ์ บ้านไร่กาแฟ... S.F. Awards Part II

สวัสดีครับทุกท่าน...

วันนี้เราก็มาต่อกับ Sometimes Fail Awards ภาค 2 หรือเรียกย่อๆ ว่า S.F. Awards กันนะครับ

มาเริ่มกันเลย กับอันดับที่ 4 - 6 (รางวัลจริงๆ แล้ว ไม่มีอันดับนะครับ มอบให้ตามความเหมาะสม ^^ สมควรจะได้)


อันดับที่ 4: รางวัลแบรนด์ไร้วิญญาณ

ได้แก่ ..... แต่น แตน แต้น ..... ชาเขียวโออิชิ คร้าบบบบบ

ถ้ากล่าวถึงตำนานชาเขียวในบ้านเรา ก็ต้องยกให้กับชาเขียวโออิชิ ถึงแม้จะไม่ใช่เจ้าแรกที่บุกตลาด (ผู้บุกเบิกคือ ยูนีฟ กรีนที) แต่ก็ถือว่าเป็นคนทำให้ตลาดชาเขียวเติบโตแบบก้าวกระโดด ซึ่งก็ต้องให้เครดิตคุณตัน โออิชิ (สมัยอดีต)

แคมเปญโปรโมชั่นสุดยอดแห่งยุค นั้นก็คือ "แคมเปญรวยฟ้าผ่า พลิกฝา โออิชิ กรีนที"
ให้รางวัลผู้ที่เจอฝาแจ๊กพอต 30 รางวัล รางวัลละ 1 ล้านบาท และรางวัลอื่นๆ มูลค่ารวมถึง 32 ล้านบาท

แคมเปญนี้ทำตั้งแต่ปี 2547 ผ่านมาก็ราวๆ 8 ปี แต่ผมก็ไม่เคยลืม... และยังมีต่อกับแคมเปญที่ฮิตไม่แพ้กันนั้นก็คือ "แคมเปญไปแต่ตัว ทัวร์ยกแก๊ง" ซึ่งแรงมากๆ จัดกันหลายภาคเลยทีเดียว
โดยผู้โชคดีก็จะได้ไปเที่ยวและไปช็อปฟรีที่ต่างประเทศ โดนใจวัยรุ่นมั๊กๆ ... ก็ต้องให้เครดิตคุณตันอีกเช่นเคย

แต่แล้วก็มีจุดพลิกผันคือ คุณตันลาออกจากโออิชิ และก็หันมาทำแบรนด์ของตัวเองแข่ง... นั้นก็คือ อิชิตัน
กลายเป็น "ตัน อิชิตัน" แทน "ตัน โออิชิ" เชื่อไหมครับ ... โออิชิที่ถูกซื้อไปทั้งกิจการและแบรนด์ ตอนแรกก็เฉยๆ แต่พอซัดกันไป ซัดกันมา เริ่มเป๋ ดูกันจะๆ แลกหมัดกันมันส์มาก

ก็จัดช่วงเดียวกัน วัดไปเลยว่าใครจะอยู่ใครจะไป... แล้วผลก็ออกมา

นั้นคือ แบรนด์ชาเขียวอิชิตัน ชนะขาดครับ ดูจากไหนหรอครับ...
ดูจากชั้นวางชาเขียวตามร้านสะดวกซื้อไงครับ ตอนนี้วางอิชิตันเยอะกว่าโออิชิมาก (ธรรมชาติของร้านสะดวกซื้อคือ ใครขายเยอะก็ได้พื้นที่เยอะ ส่วนใครขายน้อย ต่อให้เส้นใหญ่แค่ไหน ก็ต้องหลบไป)

และถ้าลองมาวิเคราะห์ดูแล้ว ก็เห็นชัดเลยว่า โออิชิกับคุณตัน มีความผูกพันกันมากในใจผู้บริโภค พอคุณตันเปลี่ยนไปทำอิชิตัน ก็เหมือนถอดวิญญาณจากร่างโออิชิไปทำ...

ตอนนี้แบรนด์ชาเขียวโออิชิ เลยกลายเป็นแบรนด์ไร้วิญญาณไปซะแล้ว !!!

ซึ่งก็ถือว่าเหมาะสมมากๆ กับ รางวัลแบรนด์ไร้วิญญาณ ครับ

สุดท้ายถ้ายังสร้างวิญญาณใหม่ให้ตัวเองไม่ได้ ก็คงรอวันไปเกิดใหม่หรือสร้างแบรนด์ใหม่อย่างเดียวละครับ

หมายเหตุ: สงสารก็แต่เสี่ยเจริญ (ช้าง) ที่คิดผิด ที่ซื้อได้แต่แบรนด์ แต่ซื้อใจคุณตันไม่ได้ T T


อันดับที่ 5: รางวัลแบรนด์ถอยแทบไม่ทัน

ได้แก่ ..... แต่น แตน แต้น ..... เครื่องดื่มวุฒิศักดิ์ คร้าบบบบบ

วุฒิ - ศักดิ์ หรือ Wuttisak ถือว่าเป็นแบรนด์ที่ตอนนี้เข้มแข็งมากๆ จากการทำสื่อโฆษณาอย่างต่อเนื่อง และตอนนี้ก็โหมแรงซะด้วย
จากเกาหลี ที่เน้นเข้าถึงกลุ่มวัยรุ่น... มาสู่ดารารุ่นเดอะ ที่เข้าถึงคนมีอายุ
ทุกอย่างดูเหมือนราบรื่น คลีนิคเสริมความงาม กับสโลแกน "เพราะความสวย...รอไม่ได้"

แต่สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง... วุฒิศักดิ์ย่ามใจเกินไป ในการมองว่าแบรนด์ตัวเอง คือความสวยความงาม ที่จะขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ไปเป็นอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้... ก็เลยออกผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มวุฒิศักดิ์ กลูตาเฮลตี้ (ดื่มแล้วขาว)
และนำเข้าไปขายที่ร้าน 7-11 ผลก็คือ ขายได้น้อยมาก วางได้ไม่กี่เดือน ก็ต้องเอาออก เพราะยอดขายไม่ถึง... งานนี้เรียกว่า เจ็บจี๊ดไปถึงหัวใจ ทำไมถึงขายไม่ได้ ทั้งๆ ที่แบรนด์วุฒิศักดิ์ก็ติดตลาด ???

ผมตอบให้เลยครับ ว่าพลาดอย่างแรง จากแบรนด์ที่คนเชื่อมั่นในเรื่องการดูแลภายนอก มาเปลี่ยนเป็นให้ดื่ม ให้ทานเข้าไป ใครเล่าจะลอง... เปรียบง่ายๆ ถ้าแบรนด์ซุปไก่สกัด ออกผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นครีมแบรนด์ รับรองไม่มีใครซื้อทาถูๆ แน่ เพราะมั่นใจเรื่องการกิน แต่ไม่แน่ใจเวลาเอามาใช้ภายนอก

ก็ถือว่าเดินเกมพลาด ให้ประสบการณ์เป็นครูไป... ซึ่งก็สมแล้วกับ รางวัลแบรนด์ถอยแทบไม่ทัน 

แบรนด์กับผู้บริโภค เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก ถ้าแบรนด์ดังแล้ว เราจะต้องเข้าใจว่า จะทำอะไรต้องคำนึงถึงผู้บริโภคด้วย เพราะผู้บริโภคจะมีภาพจำที่ชัดเจนมากๆ สำหรับแบรนด์นั้น

ผู้บริโภค... เวลาจะให้จำก็จำยาก แต่ถ้าจำแล้ว จะลืมก็ลืมอยากซะด้วยสิ

หมายเหตุ: ผมคิดว่า ถ้าวุฒิศักดิ์จะทำพวกอาหารเสริมหรือเครื่องดื่มจริงๆ ละก็ แนะนำว่าควรทำเป็นแบรนด์ใหม่จะดีกว่าเยอะครับ... อย่ายึดติดกับแบรนด์เดิม ไม่งั้นโอกาสเกิดจะต่ำมั๊กๆ


อันดับที่ 6: รางวัลแบรนด์ล้มทั้งยืน

ได้แก่ ..... แต่น แตน แต้น ..... บ้านไร่กาแฟ คับ

บ้านไร่กาแฟเคยดังสุดขีดในยุคหนึ่ง เป็นที่พูดถึงกันทั่วบ้านทั่วเมือง
บ้านไร่กาแฟเป็นร้านกาแฟแรกๆ ที่บุกเข้าไปขายในปั๊มน้ำมัน ตั้งแต่ปี 2541 (14 ปีมาแล้ว) และก็ขยายสาขาไปกับปั๊ม JET (ตอนนี้ถูก ปตท ซื้อกิจการไปแล้ว) ทั่วประเทศ ราวๆ 70 ร้าน... คนชื่นชม ชื่นชอบมากเพราะราคาขายไม่แพง แก้วนึงตก 30 กว่าบาท และสนองความต้องการของคนขับรถเป็นอย่างดี ที่แวะปั๊มแล้วต้องการซื้อกาแฟ แก้ง่วง

แต่แล้วเกิดอะไรขึ้นไม่มีใครรู้ อยู่ดีๆ บ้านไร่กาแฟก็ประกาศขึ้นราคาเป็น 80 บาทต่อแก้ว ขึ้นราคาเกือบ  3 เท่า ด้วยเหตุผลที่ว่า อยากให้คนไทยดื่มกาแฟคุณภาพดี จึงเปลี่ยนวัตถุดิบใช้ของที่ดีขึ้น !!!

ลูกค้าพากันส่ายหน้ากับเหตุผลของการขึ้นราคาแบบเวอร์มาก... ผลสรุปก็คือ คนเลิกซื้อกาแฟจากร้านนี้ไปเยอะมาก... คงต้องไปเขกกะโหลกคนเสนอปรับราคาขึ้นแบบนี้อย่างแรง

จากแบรนด์ดาวรุ่งเป็นแบรนด์ดาวร่วงไปซะงั้น พลาดครั้งเดียว ล้มทั้งยืนจริงๆ ครับ... ทั้งที่ใจจริงตอนวัยรุ่นผมชื่นชอบแบรนด์นี้มาก ที่คนสร้างเป็นคนไทย และสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาจนประสบความสำเร็จ... แต่ก็นะ ไม่น่าพลาดเลย

ยังดีที่มีร้านใหญ่อยู่ที่ซอยเอกมัย... คนเยอะครับ แต่ส่วนใหญ่ก็มากินข้าว กินเบียร์กันซะมากกว่า...
การขึ้นราคาสินค้านั้น จะมีความอ่อนไหวมาก หากเป็นการขึ้นราคาที่เห็นชัดเจน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใด ผู้บริโภคก็ทำใจรับได้ยาก (ยกเว้นราคาน้ำมัน ปรับบ่อยซะ จนชินแล้ว)

หมายเหตุ: ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากแนะนำบ้านไร่กาแฟให้ดูตัวอย่างของแบรนด์อื่นๆ เช่น Toyota จะขายรถแพง ก็สร้างแบรนด์ใหม่คือ "LEXUS" และ The Mall จะทำห้างหรู ขายของแพง ก็ใช้ชื่อ "Emporium" และ "Siam Paragon" เป็นต้น ขนาดแบรนด์ใหญ่ยังไม่กล้าเสี่ยงกับการใช้แบรนด์เดิม แล้วปรับราคาขึ้น... เพราะพวกเค้ารู้ว่า ผลเสียมันจะมากกว่าผลดี สู้สร้างแบรนด์ใหม่ไปเลยดีกว่า
.
.
ก็จบกันไปกับภาค 2 ...

ติดตามชมภาคสุดท้ายเร็วๆ นี้ครับ

Wikran M.
.
.
>> Sometimes Fail Awards ภาค 1 
>> Sometimes Fail Awards ภาค 3


ติดตามบทความของผมต่อได้ทุกวันที่... 




วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

BLACK MARKETING by ไมเคิล ซาเฟล

ขอคั่นรายการ ก่อนจะไปต่อกันที่ Sometimes Fail Awards ภาค 2 ...

ด้วยเรื่องดัง สุดฮิต ในโลกไซเบอร์ช่วงนี้ นั้นก็คือ ... คุณตาล กับแฟนหนุ่ม คุณไมเคิล ซาเฟล

สำหรับท่านที่สนใจที่มาที่ไป ผมแนะนำให้เริ่มต้นศึกษาจาก Link ด้านล่างนี้ครับ

http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A12593102/A12593102.html

เรื่องราวโดยสรุปคือ มีแฟนคลับคุณตาล โพสรูปคุณตาลกับแฟนหนุ่มในเชิงน่ารัก กุ๊กกิ๊ก ที่เวบ Pantip เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2555
แต่แล้วในวันเดียวกันก็ได้มีคนที่จำหน้าแฟนหนุ่มคนนี้ได้ และได้บอกว่่า เค้าคือจอมลวงโลกตัวพ่อจากธุรกิจเครือข่ายยี่ห้อหนึ่ง ... เรื่องก็เลยเป็นประเด็นทันที ... ปฏิบัติการตรวจสอบจึงเกิดขึ้น ... เรื่องเป็นอย่างไรต่อ ตามได้ที่ Link - Pantip ด้านบน เช่นเดียวกันครับ

ซึ่งประเด็นที่ผมอยากจะพูดถึงคือ หลักการตลาดของคุณไมเคิล ซาเฟล มากกว่า !!!

คุณไมเคิล (ถ้าไม่นับเรื่องที่กำลังตรวจสอบอยู่ ว่าหลอกลวงจริงรึปล่าว) จัดได้ว่าเป็นนักการตลาดหัวใสมั๊กๆ คนหนึ่งเลยทีเดียว มาดูกันครับ ...

1.) คุณไมเคิล เลือกกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย หรือ Target Group เป็นกลุ่มเด็กมัธยมและมหาลัย
โดยเอาประเด็นเรื่องความต้องการรวยทางลัด รวยง่ายๆ รวยสบายๆ เข้ามาจับ และเอาสิ่งที่จับต้องได้เช่น เรื่องรถหรู บ้านหลังใหญ เที่ยวรอบโลก รวมไปถึงเรื่องมีเงินก็มีแฟนเป็นดาราได้ (อันหลังสุดนี้ สุดยอด ผมก็เพิ่งรู้ เทคนิคใหม่นี้เหมือนกัน อิอิ) ... มาคุย ... มากล่อม ซึ่งถือว่าตอบสนอง ความต้องการของเด็กๆ กลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี

ลองดูบรรยากาศ สุดเกรียน ได้เลยครับ (โปรดใช้วิจารณญาณในการชม - ต้องการนำเสนอเฉพาะบรรยากาศในห้องประชุมเท่านั้น)



ที่สุดๆ เลยคือ การใช้ภาษาหยาบคาย ที่สามารถเข้าถึงเด็กๆ สมัยนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (จริงๆ อันนี้ ส่วนตัวผมไม่ชอบเลย คือ ได้ผลลัพธ์ดี แต่ไม่มีจริยธรรม)

2.) คุณไมเคิล ใช้ช่องทาง Online ในการเข้าถึงกลุ่มเด็กพวกนี้ โดยไปโพสในโลกออนไลน์เยอะมาก (พวก Spam Mails และโพสตามกระทู้ต่างๆ ที่เราเจอกันบ่อยๆ นะครับ เช่น ชวนทำงานออนไลน์ได้ตังค์ หลักหมื่น หลักแสน เป็นต้น) และที่สำคัญก็มีคนคลิ๊ก Link แล้วกรอกข้อมูล เพื่อเข้าฟังการประชุมเยอะซะด้วยสิ

3.) คุณไมเคิล ได้นำภาพความสำเร็จ ที่ใครๆ ก็ยากจะปฏิเสธมาโชว์
นักธุรกิจเครือข่าย ถอยเฟอรารี่ ยังไม่พอ มีแฟนเป็นดาราอีก ...
อย่างนี้ใครฟังแล้ว ไม่เคลิ้มก็สุดยอดแล้วครับ ... ยิ่งถ้าเป็นเด็กๆ ล่ะก็ เตลิดไปกันใหญ่

ล่าสุดก็ให้คุณตาลยืมใช้ขับหน่อย !!!
4.) และที่ผมถือว่าเป็นสุดยอดการตลาดที่สุดก็คือ ... การสร้างความน่าเชื่อถือผ่าน คุณตัน อิชิตัน ... มาชมกันครับ



ยังไม่พอมีการนำเหล่า Celeb จ้างมาเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือด้วย
.
.
.
ก็ถือว่าเค้าสุดๆ จริงๆ กับการตลาดที่ทำลงไป ...

ซึ่งเท่าที่ผมดูและวิเคราะห์เกี่ยวกับหลักการตลาดของเค้าได้ก็คือ ... เค้าเข้าใจความต้องการของคนเป็นอย่างดี (ใช้ความโลภเป็นตัวหลัก) และตอบสนองได้ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย (ใช้การยอมรับจากวัตถุนิยม ใช้ภาษาเด็กสมัยนี้ ใช้ความน่าเชื่อถือจากคนที่มีเครดิต) ...

อย่างไรก็ตาม ผมมองว่ามันคือ Black Marketing หรือการตลาดสีดำ ที่หวังเพียงผลลัพธ์ แต่ไม่คิดถึงผลกระทบต่อคนอื่นหรือสังคม ที่จะตามมา และปราศจากจริยธรรมโดยสิ้นเชิง (ไม่แนะนำเลยครับ แต่รู้ไว้ก็ดี จะได้ไม่โดนหลอก)

สุดท้ายนี้ ก็อยากจะฝากถึงเพื่อนๆ ทุกคนครับ ว่า ... "ทุกอย่างที่ทำ มีผลตามมาเสมอ"

รอดูกันต่อไปครับ ว่า Black Marketing ที่คุณไมเคิลใช้ จะให้ผลกับเค้ายังไง ในอนาคตอันใกล้นี้ !!!

โชคดีครับ ... ประเทศไทย

Wikran M.

ติดตามบทความของผมต่อได้ทุกวันที่...