วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Marketing Concept... ทำไมถึงต้องมีการตลาด ???

สำหรับท่านผู้อ่านที่อยากรู้ว่า... การตลาดเกิดขึ้นมาอย่างไร ??? เหตุผลใดถึงมีการตลาด ???

ในคลาส MarKeTing InDeed ClassRoom ครั้งที่ 2 นี้... ผมได้อธิบายถึงที่มาที่ไปของการตลาดครับ

โดยอธิบายด้วยแนวคิดการดำเนินธุรกิจ... ที่มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจากอดีตถึงปัจจุบัน 6 แนวคิดด้วยกัน คือ...

1.) แนวคิดการผลิต (Production Concept)
2.) แนวคิดผลิตภัณฑ์ (Product Concept)
3.) แนวคิดการขาย (Selling Concept)
4.) แนวคิดการตลาด (Marketing Concept)
5.) แนวคิดทางด้านลูกค้า (Customer Concept)
6.) แนวคิดการตลาดเพื่อสังคม (Social Marketing Concept)

รายละเอียดติดตามรับฟังได้ที่นี้ครับ...



ติดตาม MarKeTing InDeed ClassRoom (MIC) ได้ทั้งหมด... ตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงครั้งล่าสุดได้ที่ Link นี้ครับ...

ห้องเรียนการตลาด MarKeTing InDeed ClassRoom - Youtube

แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้าครับ... ขอบคุณครับ ^^

Wikran M.

วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Foundation of Marketing... พื้นฐานการตลาด... การตลาดคืออะไร ???

ผมได้จัดทำ MarKeTing InDeed ClassRoom ขึ้นมา...

โดยความตั้งใจของผมคือ... อยากให้ท่านที่สนใจในเรื่องการตลาดได้เรียนรู้กัน... ตั้งแต่ขั้นพื้นฐานจนไปถึงขั้นแอดวานซ์เลยครับ

สำหรับคลาสแรกนี้เป็นเรื่องพื้นฐานการตลาด ในส่วนแนวคิดการตลาด หัวข้อการตลาดคืออะไร ???

เชิญรับชมรับฟังได้เลยครับ...





ติดตาม MarKeTing InDeed ClassRoom (MIC) ได้ทั้งหมด... ตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงครั้งล่าสุดได้ที่ Link นี้ครับ...

ห้องเรียนการตลาด MarKeTing InDeed ClassRoom - Youtube

หากมีข้อติชมประการใด... แจ้งผมได้เลยนะครับ

สุดท้ายผมขอบคุณทุกท่านที่ติดตามกันมาตลอดครับ ^^

Wikran M.

วันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Quiz: Foundation of Marketing... พื้นฐานการตลาด

เป็นความตั้งใจของผมมานาน... ที่อยากเปิด Marketing Classroom ในโลกออนไลน์ สำหรับท่านผู้อ่านที่มีความสนใจและอยากเรียนรู้การตลาด... ให้ได้มาศึกษาและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและความรู้ที่มีประโยชน์ต่างๆ ร่วมกันครับ

ซึ่งจริงๆ... ผมก็วางโครงสร้างหลักสูตร Marketing Classroom เสร็จแล้ว...

โดยใช้ชื่อว่า "MarKeTing InDeed ClassRoom" ครับ 


โดยผมจะบันทึกวีดีโอที่ผมสอน (แบบ Screen Record) และอัพขึ้น Youtube เป็นตอนๆ ไป

เป้าหมายของผมก็ไม่มีอะไรมากครับ... เพียงอยากเผยแพร่ความรู้ด้านการตลาดต่างๆ ให้สำหรับผู้ที่มีความสนใจเท่านั้นเอง (ดูหล่อขึ้น 200% ^^)

และก่อนที่จะไปเรียนรู้กัน... ครั้งนี้ ผมได้จัดทำ Quiz สนุกๆ มาลองวิชากันก่อน หึหึ !!!

ท่านใด ทำได้ผ่าน... ผมขอชมเชยครับ เก่งมาก

แต่หากท่านใด ทำแล้วไม่ผ่าน... ไม่เป็นไรครับ เป็นการดีที่เราจะได้หาความรู้เพิ่มเติม

เอาล่ะ ได้เวลาแล้ว... ลองมาเล่นกัน... คลิ๊กตาม Link นี้ได้เลยครับ

Quiz: Foundation of Marketing... พื้นฐานความรู้การตลาด

ได้คะแนนกันเท่าไหร่... อย่าลืมบอกกันบ้างนะครับ ^^

Wikran M,

วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2557

Product & Packaging Design... งานสร้างคุณค่า (Value) ที่นักการตลาดมองข้ามไม่ได้

สวัสดีครับ... ทุกท่าน !!!

ผมห่างหายจากงานเขียน Blog ไปซะนาน (อีกแล้ว อิอิ)... เนื่องด้วยงานยุ่งมากๆๆๆๆ บลา บลา บลา

เอาเป็นว่า... เข้าเรื่องดีกว่าครับ ในช่วงหลังๆ มานี้ หลายท่านคงรู้ดีว่า สภาพเศรษฐกิจบ้านเราเจริญถอยหลังไปได้ไกลขนาดไหน (หลายๆ คนบอกผมว่า มันกำลังจะดีขึ้น... ก็ขอให้มันจริงและเกิดขึ้นโดยไวเถิดครับ)

วันนี้หลายบริษัท... ตัดงบการตลาดทิ้ง อย่างไม่เหลือซาก !!!
เพราะยอดขายหด กำลังซื้อหาย เนื่องด้วยสาเหตุหลักๆ มาจากคน Panic จึงไม่มีมู๊ดจับจ่ายใช้ตังค์อย่างที่ผ่านมา

ซึ่งผมก็เห็นด้วยนะครับ ว่า ช่วงนี้อย่าไปใช้เงินเยอะ... หากสภาพแวดล้อมภายนอก (กระแสสังคม กระแสผู้คน) ยังติดลบอยู่แบบนี้ ต่อให้ใช้เงินทำสื่อสารการตลาด โฆษณา ประชาสัมพันธ์ จัดกิจกรรมไป ก็เหนื่อยครับ... เพราะคนมันยังไม่มีมู๊ดจริงๆ อดทนรออีกหน่อย น่าจะเป็นการฉลาดกว่า... แต่ถ้ามาแนว ลด แลก แจก แถม ก็ทำไปเถิดครับ คนไทย ยังไงก็ Addict กับโปรโมชั่นอยู่แล้ว ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหน อิอิ (เช่น แฟนผม เป็นต้น)

เกริ่นมาซะนาน... ขอเข้าเรื่องเลยละกันนะครับ

ผมอยากจะแนะนำว่า... หากช่วงนี้คิดอะไรไม่ออก ลองมาดูเรื่อง Product & Packaging Design กัน... น่าจะเหมาะกับช่วงเก็บตัวแบบนี้ และหากฟ้าเปิด จังหวะมาแล้ว... ก็จะถึงเวลา Launching เจ้า Product & Packaging ใหม่กัน... รับรองว่า ทำแล้ว คุ้มครับ... ทั้งดูดีขึ้น (ภาพลักษณ์แบรนด์ - Brand Image ดีขึ้น) ทั้งดูน่าสนใจ (Draw Attention) และที่สำคัญ คุณค่าที่ลงทุนสร้างนี้ มันจะอยู่กับเรานาน (Long Term Value) ครับ... ไม่มาเร็ว เคลมเร็ว แบบจัดอีเวนท์ หรือแคมเปญโฆษณาทั่วๆ ไป ที่ทำแบบเป็นวาระแห่งบริษัทครับ

และเป็นอีกครั้งที่ผมอยากจะแนะนำเหมือนเดิมคือ...   ถ้าคิดอะไรไม่ออก ก็ไม่ต้องคิดมากครับ ใช้หลัก C&D เลยคือ Copy & Development... ไม่เอาหลัก C&P หรือ Copy & Paste นะครับ พวกก๊อปมาทั้งดุ้น ไม่ปรับอะไรเลย แล้วถ้ายังบอกอีกว่า คิดขึ้นมาเอง ทั้งที่ก๊อปมาเต็มๆ... ผมล่ะไม่ชอบจริงๆ ดูไม่สร้างสรรค์  และเห่ยเอามากๆ ครับ

ในหลัก C&D ถ้าจะเรียกให้สวยๆ  เราจะเรียกตัว C หรือ Copy ว่า Reference หรือแบบอ้างอิง... อ่า ฟังแล้ว รื่นหูกว่าเยอะ อิอิ... มาดูของเมืองนอกกันครับ
.
.
.
งานของ Nike Air... ที่ดูกี่ครั้ง ก็ยังคงความหล่อไว้ได้ดีเสมอ ^^



ครั้งนี้ Mc มาแนว Comic เก๋ๆ... เห็นแล้ว ยังอยากเก็บไว้เป็น Collection เลย


ส่วนตัว... ผมโคตรชอบครับอันนี้ สวยทั้ง Product และ Packaging... ดูดี มีสกุลมากๆ ถึงแม้จะไม่รู้จักแบรนด์ก็ตาม เยี่ยมจริงๆ... นี่แหละครับ ที่เค้าเรียกว่า Product sells itself อันนี้ของจริงครับ


และอีกครั้งกับ Product sells itself... แต่อันนี้ขอเรียกว่า Packaging sells its product ครับ... ออกแบบได้สวย น่าสนใจ น่าหยิบมาลองดื่มมากมาย


สุดท้ายกับ Packaging สุดเก๋... อันนี้แตกต่างแน่นอนครับ... แต่ผมว่า มันออกจะล้ำเกินไปหน่อย แต่ก็คงมีคนชอบบ้างล่ะน้า



เห็นๆ กันแล้ว... ก็อย่าลืมนำไปประยุกต์ใช้กับงานตลาดของท่านนะครับ ผมเชื่อเหลือเกินว่า มันจะมีประโยชน์กับนักการตลาดมากมาย หากเข้าใจและนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดผลลัพธ์ที่ต้องการเป็น กับเรื่องราวของ Product & Packaging Design นี้ครับ

แล้วพบกันใหม่ครับ ^^

Wikran M.

วันจันทร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2557

เมื่อ Digital Media เข้ามาแทนที่ Traditional Media แบบก้าวกระโดด !!!

เมื่อวันก่อนผมพูดคุยกับเอเจนซี่รายใหญ่เจ้าหนึ่ง... พบสิ่งที่น่าสนใจคือ...

ในช่วงหลังๆ มานี้... ลูกค้าที่มาจ้างเอเจนซี่ทำโฆษณาและวางแผนสื่อ จะพูดขึ้นมาเองเลยว่า...

"แล้วจะลงสื่อ Digital Media อะไรบ้าง เป็น % เท่าไหร่ของงบทั้งหมด"

เหตุการณ์ลักษณะนี้... บ่งบอกถึงแนวโน้มที่ชัดเจนว่า... ยุคของสื่อดิจิตอลมาแน่นอน


ซึ่งหากเจาะเข้าไปก็จะพบสื่อที่เป็น Must Have Item (ที่ต้องมี) เลยคือ Facebook, Youtube และ Google AdWords !!!

ส่วนที่เป็น Nice to Have Item (ที่มีก็ดี) ก็จะเป็นสื่อ Ads Banner ตามเวบไซด์ดังๆ, Line, Instagram และ Application ต่างๆ

ดังนั้นจะเห็นว่า... สื่อ Digital จะมุ่งไปยังสื่อที่สามารถรองรับ Device ได้หลากหลายทั้ง Mobile, Tablet และ Computer... โดย Mobile จะเป็นสื่อแรกๆ ที่ต้องให้ความสนใจ

หากลองวิเคราะห์เข้าไปที่ Mobile เราก็จะพบว่า... เป็นสื่อที่ผู้คนสมัยนี้ อยู่ด้วยมากที่สุดของการใช้ชีวิตในแต่ละวัน... ตื่นเช้ามาก็ต้องเช็ก FB เช็ก Line ก่อนเป็นอันดับแรก... พอไปเรียน/ทำงาน ก็ต้องมีไว้ติดต่อผู้อื่น... พอกลับถึงบ้านก็นั่งเล่นเกม เล่น Social Network ต่างๆ ต่ออีก... นี่ยังไม่นับเวลาว่างที่ไม่มีอะไรทำ ก็ต้องหยิบมือถือขึ้นมาเล่นกันเกือบทุกคน หรือแม้แต่ตอนกินข้าว ที่หลายคนมักต้องหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูป แชร์ และนั่งเล่นมือถือระหว่างที่ทานข้าวไปจนเสร็จ

นี่แหละครับ... พฤติกรรมผู้คนในโลกยุคนี้ที่เปลี่ยนไปแล้วอย่างชัดเจน

 ดังนั้นหากจะทำการตลาดในยุคนี้... ก็คงหนีไม่พ้น สื่อดิจิตอลแน่นอน !!!

แต่ประเด็นสำคัญคือ แล้วสื่อ Traditional Media ล่ะ พวก TV, Radio, Magazine, Newspaper, Billboard และอีกมากมาย... พวกนี้จะตายจากไปหรือว่ายังไง


คำตอบ ณ ตอนนี้นะครับ คือ... พวกนี้ก็ยังอยู่ได้ครับ แต่จะอยู่โดยไม่ใช่สื่อหลักที่จะลงเงินเยอะๆ เข้าไป 
เหมือนสมัยก่อน แต่ถามว่า ต้องมีไหม ในการทำสื่อสารการตลาด... ตอบเลยครับ ว่า... "ต้องมี"

เหตุผลที่ยังต้องมี เป็นเพราะ 2 สาเหตุหลักด้วยกัน...

1.) สื่อ Traditional ในบ้านเรายังถือว่า เข้าถึงผู้คนได้ในระดับแมส มากกว่าสื่อดิจิตอล โดยเฉพาะต่างจังหวัด

2.) สื่อ Traditional ในบ้านเรายังเป็นสื่อที่ผู้คนให้การยอมรับ ให้ความเชื่อถือ มากกว่าสื่อดิจิตอลที่ยังไม่ได้รับการยอมรับและเชื่อถือจากผู้คนมากนัก 

ดังนี้แล้ว... การรวมกันทำการสื่อสารการตลาดของทั้งสื่อ Digital และ Traditional จึงเป็นเรื่องที่นักการตลาดมองข้ามไม่ได้ในยุคนี้แน่นอนครับ

คำแนะนำสุดท้าย... 

"อย่าเลือกหนักไปที่ข้างใดข้างหนึ่ง แต่ควรเลือกที่จะบาลานซ์กันให้ดีระหว่างสื่อ Digital และ Traditional โดยมองที่กลุ่มเป้าหมายที่จะทำตลาดเป็นหลักเสมอครับ"

Wikran M.

วันพฤหัสบดีที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2557

เรื่องราวของโฆษณา HomePro Expo !!!

เหตุการณ์เพิ่งเกิดไปไม่นานมานี้... กับความฉงน งงๆ ของผู้คนมากมาย ว่าทำไมถึงมี Ads โฆษณา ที่ดูแล้วไม่เป็น Ads เลย กลับถูกนำมาโฆษณาในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐแบบเต็มหน้า


หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 19 มีนาคม 2557 กับ Text โล่งๆ "HomePro Expo"

ได้สร้างกระแสให้เกิด Viral Photo ขึ้นมากมายในช่วงวันสองวันที่ผ่านมา...

ใครไม่รู้ ไม่เห็น ไม่งง ไม่ถาม... ถือว่า Out สุดๆ กับความฮอตนี้

ซึ่งพอเช็กข้อมูลไปมา ก็ได้ความว่า... Homepro ส่ง Ads Artwork ให้ทางไทยรัฐไม่ทันตามที่กำหนด

งานนี้เลยโดนค่า Error ไปกว่า 720,000 บาท !!!

(ถ้าใครยังไม่ทราบ Rate ราคาของการลงโฆษณาไทยรัฐ อาจจะไม่เชื่อนะครับ ว่าลงวันเดียว เต็มหน้า... ซื้อรถได้หนึ่งคันเลย ไม่ต้องตกใจครับ หากดูเป็น Cost แบบ CPM หรือค่าโฆษณาต่อหัวแล้ว การลงไทยรัฐถือว่า คุ้มค่ามาก คิดง่ายๆ ว่า มีคนเห็น Ads นี้จากไทยรัฐสัก 1 ล้านคน ต่อคนก็ตกคนละ 0.72 บาทเท่านั้น... แต่การจะลงโฆษณา ไม่ใช่มีตังค์แล้วจะลงได้เลยนะครับ ต้องจองคิวล่วงหน้าก่อนด้วยเช่นกัน)

งานนี้จึงมีการวิจารณ์กันไปต่างๆ นานา... ทั้งดีและไม่ดี

ในมุมที่ดีคือ... มีคนเห็นและสนใจกับ Ads นี้ เป็นจำนวนมาก จาก Viral Photo ที่เกิดขึ้น

ในมุมที่ไม่ดีคือ... แสดงให้เห็นความผิดพลาดของ HomePro ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของแบรนด์

แต่แล้วก็มีแหล่งข่าวนึง (20 มี.ค. 2557) ออกมาแจ้งว่า... ผู้บริหาร HomePro ออกมาชี้แจงแล้วว่า... เป็นความตั้งใจที่จะให้เป็น Viral Marketing โดยทีมงานได้วางแผนมาก่อนแล้ว !!!
(อันนี้ ต้องใช้วิจารณญาณนิดนึงนะครับ เพราะไม่ได้ออกมาแก้ข่าวอย่างเป็นทางการ หรือมีจดหมายชี้แจงอย่างเป็นทางการ)

ซึ่งก็มีผู้คนตั้งข้อสังเกตต่อว่า... ถ้าหากตั้งใจให้เป็น Viral จริงๆ... ทำไมเพิ่งมาลงในวันที่ 19 มี.ค. 2557 เพราะงานเริ่มตั้งแต่ 14 มี.ค. และจะจบลงในวันที่ 23 มี.ค. นี้... จะทำ Viral ทั้งที่มันก็น่าจะปูมาก่อนสิ จริงมั้ย !!!



อย่างไรก็ตามทั้งหมดทั้งปวงนี้... ผมมองว่า มันเป็นปรากฏการณ์ที่นานๆ จะเกิดสักครั้ง และในครั้งนี้ที่เกิดในยุค Social Network เต็มใบ... มันก็เลยฮอต ฮิต เป็น Topic ที่ทั้งคนในวงการการตลาดและผู้คนทั่วไปต่างกล่าวถึงกันเป็นอย่างมาก

ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจให้เกิดขึ้นก็ตาม... ในแง่การสร้าง Awareness ทำให้คนรู้จัก รับรู้ กับตัวงานถือว่า ผ่านฉลุย... แต่ในแง่ Perception หรือความคิดของผู้คน เมื่อพูดถึงงาน HomePro Expo ก็อาจจะคิดถึงเรื่องขำๆ ของ Viral Photo ที่เกิดขึ้น (แต่จะไปได้แง่ดีหรือไม่ดี... ก็แล้วแต่ความคิดของแต่ละท่านครับ)

สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากกรณีโฆษณา HomePro Expo ครั้งนี้... ผมว่ามีประโยชน์นะครับ

1.) ได้รับรู้ถึงความสำคัญของการส่ง Artwork ให้ทัน Deadline กับสื่อใหญ่ๆ... ไม่งั้นจะโดนแบบนี้ !!!
2.) ได้รู้ Rate ราคาปัจจุบันของไทยรัฐ (เต็มหน้า) 720,000 บาทเอง !!!
3.) ได้เรียนรู้พฤติกรรมของผู้คนยุคใหม่... ที่พร้อมจะหยิบเหตุการณ์ที่ไม่ปกติมาเมาท์สนั่นกันทั้งเมือง !!!
4.) ได้เรียนรู้ว่า Viral Marketing เข้ามามีบทบาทแล้ว ในฐานะกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดแล้วจริงๆ (ในกรณีที่ตั้งใจนะครับ) !!!
5.) ได้รู้ถึงความเนียนของผู้บริหารในการแก้ข่าวเชิง PR ว่า... ให้ตามน้ำไป ไม่งั้นเดี๋ยวซวย (ในกรณีที่ออกมาพูดจริง ไม่เป็นการเต้าข่าวกันขึ้นมาเอง) !!!

และนี้คือ... เรื่องราวของโฆษณา HomePro Expo. ที่สุดจะเจ๋ง และ... Super Super Out of the Box จริงๆ ครับ ^^

Wikran M.

วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557

Marketing Campaign: Emart Sunny Sale

สวัสดีครับทุกท่าน... ห่างหายไปนาน เนื่องด้วยภารกิจงาน สอน และบรรยายต่างๆ (ข้อแก้ตัวผม น่าจะฟังขึ้นนะครับ ^^)

กลับมาครั้งนี้... ในช่วงสภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอน ผมจึงอยากเขียนสิ่งที่น่าจะมีประโยชน์กับท่านผู้อ่าน ที่จะสามารถนำข้อมูล ความรู้ทางการตลาด... มาเป็นแนวคิดประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มยอดขาย กำไร ลูกค้า และผลลัพธ์ทางการตลาดอื่นๆ ให้กับบริษัทหรืองานที่ท่านทำอยู่ครับ

ซึ่งนั้นก็คือ... Marketing Campaign หรือแคมเปญการตลาดที่จะมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยธุรกิจของท่านได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ

โดยในครั้งแรกนี้... ผมขอนำเสนอโมเดลการทำ Marketing Campaign และ Case Study แรกก่อน เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น

โดย Marketing Campaign Model นี้... ไม่มีอะไรที่ซับซ้อน และเข้าใจได้โดยง่าย ซึ่งประกอบด้วย 4 ขั้นตอนด้วยกัน ดังนี้...

ขั้นที่ 1 = Problem or Opportunity Statement คือการระบุปัญหา (Problem) ที่อยากจะแก้ หรือโอกาส (Opportunity) ที่มองเห็น

ขั้นที่ 2 = Objective Statement หรือตั้งวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน ว่า อะไรคือเป้าหมายของการแก้ปัญหา หรืออะไรคือเป้าหมายของโอกาส ที่เราจะทำ... โดยควรจะมีรายละเอียดเป็นตัวเลขกำกับให้ชัดเจนด้วย

ขั้นที่ 3 = Formulate Strategy หรือสร้างกลยุทธ์ที่จะทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ ซึ่งจะเริ่มจาก Idea (ความคิด) ซึ่งควรจะเป็นความคิดสร้างสรรค์ หรือ WOW Idea (แปลก ใหม่ ยิ่งใหญ่ ไม่เคยเห็นมาก่อน) และแนวทาง (Approach) ในการนำไอเดียนั้นมาทำด้วย... ซึ่ง Idea + Approach ก็คือ Strategy ที่จะนำใช้กันครับ

ขั้นที่ 4 = Execution Plan หรือสร้างแผนดำเนินการให้ชัดเจน เช่น เริ่มเมื่อไหร่ จบเมื่อไหร่ ทำที่ไหน มีรายละเอียดการดำเนินการอย่างไรบ้าง เป็นต้น
.
.
.
ได้เวลาแล้วครับ... เรามาดู Case Study - Emart กัน


Campaign: Emart Sunny Sale

Background: 
Emart เป็น Supermarket ในประเทศเกาหลี โดยมีสาขากว่า 141 สาขาทั่วประเทศ 

1. Problem Statement:
ปัญหาคือ... ยอดขายในช่วงเที่ยง (Lunch Time) ตั้งแต่ 12.00 - 13.00 น. ลดลงเป็นอย่างมาก

2. Objective Statement:
วัตถุประสงค์จึงคือ... เพิ่มยอดขายในช่วง 12.00 - 13.00 น. ขึ้นมาให้ได้

3.Formulate Strategy:
กลยุทธ์ที่ใช้...

3.1) Idea... เริ่มจากไอเดียก่อนคือ จะส่งมอบประสบการณ์สุดพิเศษ (Unique Experience) ให้กับผู้คนเพื่อให้พวกเค้าสนใจช๊อปปิ้งในช่วงเวลาดังกล่าว โดยจะใช้ Shadow QR Code เข้ามาส่งมอบประสบการณ์ (ความคิดสร้างสรรค์คือ Shadow QR Code นี้ จะแสกนได้ในเวลาเที่ยงวันที่แดดลงมาพอดีเท่านั้น) โดยผู้ที่แสกนจะได้รับโปรโมชั่นพิเศษ ทั้งส่วนลดและคูปองฟรี $12 และเมื่อสั่งซื้อของผ่าน App ที่แสกน จะจัดส่งของไปที่บ้านหรือออฟฟิสทันที
3.2) แนวทาง (Approach) ที่ทำคือ... สร้าง Shadow QR Code ขนาดใหญ่ มาวางไว้ ณ ที่สาธารณะ เพื่อให้คนพบเห็น เกิดความสนใจ แสกนเพื่อรับโปรโมชั่น และสั่งซื้อของในช่วงเวลาดังกล่าว...

4.) Execution Plan:
เริ่มตั้ง Shadow QR Code ก่อน 13 สาขา... และต่อมาขยายเป็น 36 สาขา... ในช่วงเวลา 12.00 - 13.00 น. 

Results:
มีผู้ download คูปองทั้งสิ้น 12,000 คูปอง... มียอดสมาชิกเพิ่มขึ้น 58%... และสร้างยอดขายในช่วงเวลาดังกล่าวเพิ่มขึ้น 25%... ยิ่งไปกว่านั้นคือ ยังได้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ และข่าวประชาสัมพันธ์ทั้งทางสื่อออนไลน์และทีวีครับ (ตีมูลค่าข่าว PR ที่ออกมา ต้องเป็นมูลค่าที่เยอะมากๆ แน่นอน)




และทั้งหมดนี้คือ... ผลลัพธ์จากการทำ Marketing Campaign ที่ถูกต้อง เหมาะสม และเจ๋งมากๆ ครับ
.
.
.
แล้วเจอกันใหม่ครั้งหน้า... กับแคมเปญการตลาดที่น่าสนใจอื่นๆ ต่อไปครับ

Wikran M.

วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

Viral Marketing: การตลาดไวรัล... ทำยังไงให้แบรนด์เกิด

Viral Marketing หรือการตลาดไวรัล... ที่มีที่มาจากคำว่า Virus


โดยคอนเซ็ปคือ... ทำให้เนื้อหา (Content) ที่เราสร้างขึ้นแพร่กระจายออกไปถึงผู้คนให้เยอะและรวดเร็ว แบบการกระจายตัวของไวรัส

รูปข้างบนก็เป็นตัวอย่างหนึ่งจาก Nike ที่ทำ Mock Up ลูกบอลยักษ์ตกทับรถ... และถ่ายรูป ส่งต่อ เกิดการแชร์ขึ้นมากมายในวงกว้าง
.
.
.
ซึ่งจริงๆ แล้ว Viral Marketing ก็เหมือนกับหลัก W.O.M หรือ World Of Mouth (ปากต่อปาก) นี่แหละครับ... แต่เป็นรูปแบบที่พัฒนาให้เข้ากับยุคสมัยโดยเน้นที่การใช้สื่อออนไลน์ในการแพร่กระจาย Content เป็นหลัก

สำหรับ Viral Marketing ในบ้านเรา... ที่น่าสนใจและเป็นที่กล่าวถึงกันมากที่สุดในช่วงที่ผ่านมาก็คือ...

Wacoal Mood...

ที่ทำได้ Clip ได้เซอร์ไพรซ์มาก ได้รับการพูดถึงในโลกออนไลน์อย่างแพร่หลาย



อันนี้คือ... แนวโฆษณาตรงๆ แบบสร้างสรรค์ ไม่มีหมกเม็ด... ได้วิวไปกว่า 11 ล้านวิว

ส่วน Viral ตัวอื่นๆ... ที่ Success มากๆ ก็หนีไม่พ้น...

กำนันสไตล์...



ตอนนี้ 32 ล้านวิวไปแล้ว... ถือว่าสำเร็จมากๆ ทั้งสปอนเซอร์ "นกแอร์" ที่คุ้มค่ากับการลงทุนสุดๆ... และรายการเสือร้องไห้ (รายการช่องเคเบิ้ล) ที่แจ้งเกิดไปเต็มๆ
.
.
.
จริงๆ หากลองมาวิเคราะห์ Viral Clip ในบ้านเราแล้ว...

คลิปที่ได้รับการวิวอย่างต่อเนื่องและเยอะมากๆ... แทบจะเรียกได้ว่าเชื่อขนมกินได้เลย ว่ามีคนมาวิวเป็นหลักล้าน

ก็คือ คลิป MV ต่างๆ นั้นเองครับ เช่น...

มันแน่นอก...



82 ล้านวิว สบายๆ...

และเพลงสามัญประจำงานเลี้ยง ณ ตอนนี้ ก็ต้อง... หญิงลี ครับ ^^



ส่วน MV เพลงฮิตอื่นๆ หรือเพลงที่เปิดบ่อยจะมีต่ำๆ ก็ต้อง 20 ล้านวิว
.
.
.
สิ่งที่น่าสนใจคือ...

หากนักการตลาดไม่มองเรื่องสร้าง Viral Clip เอง (ซึ่งบ้านเรา ผมเห็นน้อยจริงๆ ครับที่สร้างเองแล้วจะเกิดได้ และมีวิวเป็นหลักล้าน)... แต่เปลี่ยนมุมมองเป็น Tie-In หรือทำ Product Placement กับ MV ต่างๆ (แต่ขออย่าง... ทำให้เนียนๆ และดูดีนะครับ ไม่เอาสไตล์ Hard Sales แบบพี่ไทย ที่จ่ายเงินแล้วต้องเอาให้คุ้ม ^^) ผมว่าไปได้สวยแน่นอนครับ

มาดูตัวอย่างของ Swarovski... แบรนด์เครื่องประดับชื่อดัง ที่มักจะ Tie-In ใน MV ได้เนียน ดูไม่ขัด และจดจำได้ดีเสมอ (ดูที่ 0.20)



ตอนนี้ก็ 725 ล้านวิวทั่วโลก เรียกได้ว่า... สุดคุ้มจริงๆ ครับ

และอีกตัวหนึ่ง... MV - Mirrors (ดูที่ 4.49) กับ 150 ล้านวิว สบายๆ


.
.
.
ผมเชื่อเหลือเกินครับ...

ถ้าทำ Viral Marketing โดยดูให้เข้ากับพฤติกรรมสังคมออนไลน์และผู้คนในบ้านเรา...

"การ Tie-In หรือทำ Product Placement เข้าไปใน MV จะเป็นทางเลือกที่ดีของการทำ Viral Marketing ในบ้านเรา ให้ผู้คนรู้จัก (Awareness) และชื่นชอบ (Preference) ในตัวแบรนด์ได้แน่นอน"

Wikran M.