วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

MLM ของจริง หรือ หลอกลวง

เมื่อวานผมได้มีโอกาสไปคุยกับเจ้าของบริษัท MLM บริษัทหนึ่ง เนื่องด้วยอาจได้ทำธุรกิจอาหารเสริมร่วมกันในอนาคต

ได้ข้อมูลแบบ Insight มามากมายทีเดียว ... อยากรู้กันไหมครับ !!!



แต่ก่อนอื่น มารู้จัก MLM กันก่อน ... MLM ย่อมาจาก Multi-Level Marketing

เป็นการทำตลาดขายตรง (Direct Sales) รูปแบบหนึ่ง ... แต่เป็นการทำตลาดแบบหลายชั้น (MLM) ได้รายได้หลายทางเช่น จากทีม จากการขาย เป็นต้น แล้วแต่แผนธุรกิจของแต่ละบริษัท ... ซึ่งถ้าเป็นการทำตลาดแบบชั้นเดียว (SLM - Single Level Marketing) จะได้รายได้จากการขายสินค้าเท่านั้น เช่น Mistine เป็นต้น

และเมื่อมันเป็นการขายตรง ดังนั้นบริษัทเจ้าของต้องขายสินค้าผ่านสมาชิกของบริษัทเท่านั้น ไม่สามารถนำไปวางขายปลีกได้ เช่น Big C, Lotus และ 7-11 
.
.
.
วันนี้ผมจะมาเล่า ข้อมูลทั้งหมดที่ผมมี ซึ่งหวังว่าคงเป็นประโยชน์แก่ทุกท่าน ที่คิดอยากจะทำครับ

1.) การดูบริษัท MLM ว่าของจริงหรือหลอกลวง ดูอย่างไร

- ถ้าเป็นเชิงหลักฐาน ให้ขอดูใบอนุญาติของทาง สคบ. จากคนที่มาชวน เพราะสคบ. จะเป็นหน่วยงานที่ออกใบอนุญาติแผนธุรกิจของบริษัท MLM ทุกบริษัท >>> ถ้ามีก็ของจริง ถ้าไม่มีก็แชร์ลูกโซ่ดีๆ นี่เอง

*แชร์ลูกโซ่ คือวิธีหมุนเงิน จากคนสมัครที่หลัง มาให้คนสมัครก่อนหน้า โดยการหลอกลวงคนที่มาสมัคร อ้างว่า เป็นการลงทุนทำธุรกิจ MLM แล้วก็หมุนเงินไปทำอย่างอื่น สุดท้ายเจ้าของก็หายตัวไป ... ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดกฏหมายครับ

- ถ้ามีคนมาชวนทำ แล้วบอกว่าต้องลงทุนเป็นหมื่น เป็นแสน แล้วจะสำเร็จได้เงินเป็นล้่าน อะไรก็ตาม ให้คุณขอดูคู่มือนักธุรกิจ แล้วอ่านตรงระเบียบบริษัท ในเรื่องเงื่อนไขการเป็นนักธุรกิจและการรักษายอดขั้นต่ำต่อเดือน เพื่อที่คุณจะได้รู้ว่า จริงๆ แล้วคุณต้องจ่ายเท่าไหร่ >>> คิดง่ายๆ ถ้าคุณลงทุนเป็นแสน คุณจะชวนใครให้มาลงทุนเป็นแสนแบบคุณได้ อย่างนี้หลอกลวงแน่นอนครับ จ่ายเท่าที่ควรจ่ายพอ เงินเรานะครับ จะใช้ จะลงทุน ต้องคิดผลตอบแทนดีๆ

2.) อะไรคือ แม่ทีม

- แม่ทีม เป็นศัพท์ที่คุณต้องรู้จัก เพราะเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในการกำหนดความสำเร็จของคุณในธุรกิจนี้เลยทีเดียว ... แม่ทีม หรือ ผู้นำ คือคนที่ช่วยคุณวางแผนการทำงาน เป็นคนสอนงานคุณถึงวิธีคิดและวิธีทำ ... ถ้าเจอแม่ทีมดี โอกาสสำเร็จก็สูง ... ถ้าเจอไม่ดี ... ประมาณหลอกให้ลงตังค์เยอะ ... ก็เตรียมตัวโดนต้มได้เลยครับ

- แม่ทีม ในมุมของเจ้าของบริษัท MLM คงเปรียบได้เหมือนผู้บริหารระดับสูง ... หากบริษัทมีแม่ทีมดี มีแม่ทีมเก่งเยอะ ... ก็จะเติบโตแบบก้าวกระโดด ... แต่แม่ทีมประเภท เปลี่ยนบริษัทมาเยอะก็ต้องระวัง ... เพราะแม่ทีมเหล่านี้แหละ ที่หลอกเจ้าของบริษัท ... ขอเงินพิเศษต่างหาก ... แล้วจะขนคนมาสมัครเยอะๆ ทำธุรกิจเยอะๆ ... แต่สุดท้ายทำไม่ได้จริง ... ก็เสียตังค์ฟรีไป

- เพราะฉะนั้น หากคุณโดนชวนให้ทำธุรกิจ คุณต้องดูแม่ทีมหรือผู้นำก่อน ... ข้อดีคือ พวกนี้เค้าทำเป็นอาชีพ ไม่เลิกหรอก ... แต่ถ้าเป็นเพื่อนเราทำๆ ไป ไม่เวิร์ค ก็เลิกแน่นอน ... ลองถามเค้าดูครับว่า ทำอะไรมาก่อนบ้าง ... ถ้าทำมาหลายที่ ยังงี้อาจจะเสี่ยงหน่อย ... เพราะมีโอกาสเปลี่ยนอีก

3.) มือใหม่ป้ายแดง อยากทำ ดีหรือไม่ดี

- ธุรกิจ MLM จริงๆ แล้ว ถ้าเปิดใจเป็นกลาง รับฟังข้อมูล ... จะรู้ว่ามันดี มันสอนให้คนหาเงิน ... ไม่ใช่ วันๆ เอาแต่ใช้เงิน ... แต่ก็มีบางส่วนที่ทำแล้ว ... อยากสำเร็จเร็ว ก็ใช้วิธีลัดบ้าง ไปหลอกคนนั้น คนนี้ ให้ซื้อของเยอะๆ ไปบอกเค้าว่า ไม่ต้องทำอะไร ก็ได้เงิน หรือบางคนยอมหลอกตัวเอง ซื้อเยอะ ยอมเป็นหนี้ เป็นสินเอง ... เพื่อที่จะนำรายได้หรือภาพความสำเร็จ ไปหลอกคนอื่นต่อไป ... เพราะฉะนั้น จะดีหรือไม่ดี ให้ดูที่วิธีคิดและวิธีการทำงาน ครับ

- เจ้าของบริษัท MLM บางทีก็สงสาร พวกลูกทีม ที่โดนเค้าหลอกมา ... เพราะสุดท้ายแม่ทีม ชิ่งหนีไป ... แต่บริษัทยังเปิดอยู่ ... คนก็มาร้องเรียนกับเจ้าของบริษัท ... ถ้าเจ้าของบริษัทดี ก็จะวางกฏระเบียบเข้มข้น ไม่ให้เกิดน้ำเสียในบริษัท ... ไม่งั้นระยะยาว ไม่มีใครเชื่อถือบริษัทครับ

4.) อะไรบ้าง ที่คนที่คิดจะทำ ควรรู้ และควรต่อรอง

- ถ้าคุณเป็นมือใหม่ป้ายแดง มีคนมาชวนแล้ว สิ่งที่คุณเจอแน่ๆ คือ การเปิดใจ ... การเปิดใจ จะมาในรูปแบบ พาไปที่ประชุมบ้าง พาไปที่อบรมบ้าง ไปงานต่างๆ บ้าง หรือนัดเจอคนสำเร็จ มีรายได้หลักแสน หลักล้านบ้าง ... พวกนี้ ลองไปดูครับ แต่อย่าให้บรรยากาศครอบงำมาก ... จนไม่มีสติคิด ... ที่สำคัญ คุณต้องกล้าขอดูหลักฐานครับ ... ใครบอกได้แสนได้ล้าน ... ขอดูบัญชีธนาคารเลยครับ ... โอนเข้าจริงไหม เข้าทุกเดือนไหม ... ประเภท ปั่นหุ้นตัวเอง ขึ้นเดือนเดียว แล้วลงยาว ก็มีให้เห็นอยู่เรื่อยไป ... ที่สำคัญ เงินอยู่ในกระเป๋าเราอยู่ดีๆ ... อย่าควักออกง่ายนัก ... คิดให้ดีๆ คิดอย่างมีสติ ... ก่อนใช้เงินทำ MLM ครับ

- ถ้าวันหนึ่ง คุณเป็นระดับผู้นำ เป็นระดับแม่ทีมแล้ว ... คุณจะรู้ว่า ก้าวแรกในการทำธุรกิจ MLM ที่สำคัญมาก คือ ตอนชวนมาทำ ... คุณต้องรู้ และคุณต้องต่อรองเป็น ... รู้อะไรบ้าง 1.) สินค้าคืออะไร 2.) แผนธุรกิจ หรือ แผนรายได้เป็นอย่างไร 3.) ใครเป็นเจ้าของบริษัท 4.) ยอดธุรกิจบริษัทเท่าไหร่ 5.) ใครเป็นแม่ทีม 6.) ทีมนี้ ใช้ระบบทำงานอย่างไร 7.) ใครจะมาเป็นพี่เลี้ยง คอยช่วยคุณ ... ถ้ามือใหม่หรอครับ ไม่รู้หรอก ไม่กล้าถามด้วยซ้ำ ... ได้แต่ฟังเค้าโม้ เรื่องความสำเร็จ ยังงี้ ยังงั้น มีเบนซ์ขับ มีบ้าน 20 ล้าน ... ถ้าเค้ารวยจริง ลองถามเค้าดูว่า รบกวนช่วยเลี้ยงข้าวสักมื้อได้ไหม ... อย่าไปเกรงใจความสำเร็จของเค้าครับ เกรงใจตัวเองดีกว่า เพราะธุรกิจนี้ ถ้าไม่รู้จริง แล้วไปทำ ... เจ๊งทุกราย ไม่วายเสียเครดิตด้วย ... นี้แหละครับ คำเตือนที่ดี ที่ควรฟัง

- จากคำถาม 7 ข้อ ข้างบน ข้อที่สำคัญที่สุดสำหรับคนอยากรวย อยากประสบความสำเร็จในวงการนี้ คือ ข้อ 2. แผนรายได้ - สำหรับแผนรายได้ ถ้าทำเป็น มีเครือข่าย ... เค้าจะคุยแบบธุรกิจกันเลยว่า ... คนที่ชวน จะลงคน ลงแต้ม ให้เท่าไหร่ ... แล้วเค้าถึงจะลงทุนเอาคนของเค้ามาลง ... พวกนี้คุยกัน จะมองคนทั่วไป เหมือนเบี้ย มองตัวเองเป็นขุน ... ถามว่าดีไหม ไม่ดีหรอกครับ แต่มันคือความจริง เพราะวงการนี้ ใครเขี้ยว คนนั้นอยู่ ... เพราะฉะนั้น ถ้าคิดจะทำแล้วประสบความสำเร็จ ... ต้องต่อรองกับคนชวนให้เสร็จ ก่อนลงเงินและลงแรง ครับ

- สำหรับข้ออื่น ที่ต้องดูคือ ข้อ 1. สินค้า ... สินค้าต้องเป็นลักษณะซื้อมา หมดไป เป็นพวก Consumer Product ... เพราะต้องให้คนคอยมาซื้อเรื่อยๆ ... เพราะถ้าไม่มียอดขาย ก็ไม่มีรายได้ ... และต้องเห็นผลจริง เห็นผลเร็ว ไม่มีผลข้างเคียง ... ส่วนใหญ่ สินค้า MLM จึงเป็นอาหารเสริม และเครื่องสำอาง ด้วยเหตุผลตามที่กล่าวมานั้นเอง ... แต่สำหรับนักธุรกิจ จะให้ดีต้องลองทาน ลองใช้เอง จนเห็นผลจริง ... แล้วค่อยไปแนะนำคนอื่นครับ ... พวกเอารูปคนป่วย นู้น นั้น นี้ กินแล้วหาย ใช้แล้วดี มาโชว์ ... เห็นกันมาเยอะครับ หาจากใน Google มาหลอกลวงกันทั้งนั้น ... ต้องลองสินค้าเองครับ อย่าไปเชื่อคนอื่น

- ข้อ 3. และ ข้อ 4. เรื่องของบริษัทก็สำคัญมากเช่นกัน ... ความจริงก็คือ วันนี้หากเจ้าของบริษัท เป็นนักลงทุน เป็นเถ้าแก่ ไม่เคยทำ MLM โอกาสที่บริษัทจะไปไม่รอดสูงมาก ... เพราะจะคิดแบบเถ้าแก่ มาเร็ว ไปเร็ว ... ขาดทุนหน่อย ก็ปิดบริษัทแล้ว ... แต่ถ้าหากเจ้าของ เคยทำธุรกิจ MLM มาก่อน จะดีมาก เพราะจะเข้าใจการทำธุรกิจ เข้าใจนักธุรกิจดี และเข้าใจพวกแม่ทีมดีมาก เพราะธุรกิจ MLM อยู่ได้เพราะนักธุรกิจ ไม่ใช่อย่างอื่น ... ส่วนเรื่องยอดบริษัท มันจะเป็นตัวบอกโอกาส ที่จะเกิดขึ้น ... บริษัทไหน ยอดวิ่งต่ำกว่า 100 ล้าน ก็ลุ้นกันเหนื่อยหน่อย (ต้องดูระยะเวลาด้วยนะครับ ถ้า 2 ปีแรก 60 - 100 ล้าน นี่ ยังพอรับได้ แต่ถ้านานกว่านั้นก็ไม่ดี) ถ้าบริษัทไหน ยอดขายแตะ 100 ล้าน แต่ยังไม่ไปถึง 1,000 ล้าน อันนี้ พอน่าเสี่ยง เพราะมีแนวโน้มโตได้อีก แต่ถ้าบริษัทไหน แตะ 1,000 ล้าน จนถึง 5,000 ล้านแล้ว และมากกว่านั้น ... ก็ต้องดูดีๆ ... เพราะจะถึงยุคต่อ ติด ตาย คือคนรู้จักกันหมดแล้ว ลองทำกันหมดแล้ว ... ก็คือจะต้องหาคนมาต่อเรื่อยๆ เพราะจะมีทั้งติดและตาย เกิดทุกวัน ... ดูกันดีๆ ครับ

*ทราบไหมครับ บริษัท MLM ที่จดทะเบียนในบ้านเรา ปัจจุบันมีถึง 5,000 บริษัท แต่บริษัทที่เปิดทำธุรกิจจริงๆ มีอยู่ประมาณ 700 บริษัท และที่พอมียอด มีประมาณ 400 บริษัท แต่ถ้านับว่าดีจริงๆ น่าทำจริงๆ มีไม่ถึง 50 บริษัทหรอกครับ เพราะฉะนั้นเลือกกันให้ดี ... บริษัท MLM เกิดทุกวัน และดับทุกวัน ... นี้คือความจริงวันนี้ ของธุรกิจนี้ครับ !!!

- สำหรับข้อที่เหลือ เรื่องแม่ทีมก็กล่าวไปแล้ว ... สุดท้ายเป็นนกน้อยก็ต้องเลือกรังให้ดี ทั้งบริษัท ทั้งทีมงาน ทั้งคนคอยช่วยเหลือ ... ธุรกิจ MLM เป็นธุรกิจที่ดี ... แต่ในบ้านเรา ... หน้าฉากที่ดูสวยงาม ... หลังฉากลองไปคุยหรือลองเข้าไปสัมผัสเถอะครับ ... พวกบรรดาแม่ทีมหรือผู้นำทั้งหลาย ... ทะเลาะกันเรื่องเงินๆ ทองๆ กันเยอะ ... ทั้งค่าสื่อ ... ค่าเซ็นเตอร์ ... ค่าจัดงาน ... เรื่องชู้สาวก็มีให้เห็นเยอะ ... ยิ่งกว่าในละครอีก ... แต่นั้นก็คือ บางส่วน ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นหรอกครับ
.
.
.
สรุปนะครับ จากข้อมูลทั้งหมดที่ผมมี ผมว่า MLM เป็นธุรกิจที่ดี สอนให้คนคิดหาเงิน สอนให้คนทำธุรกิจ ... แต่มีคำเตือนคือ อย่าลงทุนเกินตัว อย่าเพ้อฝันเกินความเป็นจริง ... ศึกษาให้ดี ก่อนจะลงมือทำ ทั้งบริษัท เจ้าของบริษัท สินค้า แผนรายได้ แม่ทีม ทีมงาน พี่เลี้ยง คนชวน ... ที่สำคัญคือ อย่าอินมากจน เสียครอบครัว เสียเพื่อน เสียเครดิต หมดตัว เป็นหนี้ เป็นสิน ... ต้องทำอย่างมีสติ ... สุดท้ายจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ... สิ่งที่คุณจะได้มาคือ ประสบการณ์ครับ  

ถ้าวันหนึ่ง ผมเปิดบริษัท MLM แล้วจะมาชวนเพื่อนๆ ทุกคน อีกทีครับ ... ฮา ^^ 

Wikran M.


ติดตามบทความของผมต่อได้ทุกวันที่... 



วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555

BGH: Dads in Briefs ... Ads ฮามาก

วันนี ผมไปอ่านบทความใน Adverblog.com มา เจอโฆษณาทีวีตัวหนึ่ง ฮามาก

Ads ตัวนี้ ชื่อว่า Dads in Briefs หรือ คุณพ่อในชุดกางเกงใน (Briefs = กางเกงในชาย)

เรื่องราวเป็นอย่างไร มาดูกันครับ ...



ทั้งหมด มี 3 ชุด

ชุดแรก ... ออกแนวฝันร้ายของคนในครอบครัว ... เมื่อถึงหน้าร้อน ... แล้วเจอกับเหล่า Dads in Briefs (ปะป๋าอยู่ในชุดกางเกงใน เพื่อคลายร้อน)
ชุดที่สอง ... มีอะไรหน้าอายมากกว่านี้อีกไหม เมื่อคุณพ่อพยายามทำตัวเจ๋ง ต่อหน้าเพื่อนๆ ลูก ... คำตอบคือ มี ก็ตอนทำเจ๋งในชุดกางเกงในไง !!!
ชุดสุดท้าย ... คุณนายกำลังคุยกันอยู่ ... Dad in Briefs หาคลื่นโทรศัพท์ไม่เจอ ... จึงออกมา

โฆษณาชุดนี้ มาจากประเทศอาเจนติน่า เป็นของแบรนด์ BGH ซึ่งผลิตภัณฑ์คือ เครื่องปรับอากาศ และ Message คือ "หาซื้อแอร์ BGH มาเถอะ ถ้าอยากให้พวกเค้าใส่เสื้อผ้า" 
จากการที่ผมดูโฆษณาชุดนี้ ...

ผมจำแบรนด์นีได้ ... แบรนด์ BGH ... และผมคงไม่ลืม Dads in Briefs แน่นอน

ผมรู้สึกดีกับแบรนด์นี้ ... เพราะมันทำให้ผมขำ และดูซ้ำ

ถ้าผมเป็นคนอาเจนติน่า และถามผมว่า ดูแล้วอยากซื้อไหม ???

คำตอบคงเป็น ... ผมยังเฉยๆ แต่คงจัดให้อยู่ใน Top 3 Brands ในหมวดผลิตภัณฑ์แอร์ ... ที่เหลือคงดูราคา สอบถามเพื่อนๆ พนักงานขาย และโปรโมชั่นดีๆ

โดยสรุป ผมว่า Ads นี้ เจ๋ง !!! ในแง่การจดจำแบรนด์ (Brand Awareness) และความชื่นชอบแบรนด์ (Brand Preference)

แต่จะส่งไปถึงการซื้อแบรนด์ (Brand Purchase) มาใช้ไหม ... คงจะต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติมก่อน

รวมๆ แล้ว จัดว่าเป็น Impact Ads หรือ โฆษณาที่โดนใจผู้คน ได้อย่างไม่ยากเย็น ... 
.
.
.
ที่นี้ ลองมาย้อนดูบ้านเราบ้าง ... ที่ผมพอจะจำได้คงไม่พ้น แอร์ซัมซุง (Samsung)

 อันนี้ ออกแนว Sexy น่าดู (ต้องยกความดีความชอบให้คนเลือกชุด เลือกได้ดีมาก ผู้ชมชายส่วนใหญ่ ฝากชมมาครับ)

มี App มาให้เล่นกันด้วย ...


แต่จะให้ดี ผมแนะนำ Samsung ว่า ...

รุ่นหน้าขอเป็นคอนเซ็ปเดียวกับ Dads in Briefs แต่เป็น "Aum in 2 pieces" 

ถ้าทำจริง ผมยกรางวัล The Most Impact Ads in Thailand 2012 ให้เลยครับ ^^

Wikran M.

ติดตามบทความของผมต่อได้ทุกวันที่... 



วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ฟุ้ง IDEA #1: ก๋วยเตี๋ยวครึ่งชาม

เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ผมไปทำงานที่เชียงใหม่มาครับ ... ตกเย็น เป็นต้องไปเดินที่ถนนนิมมานฯ

เดินแล้วรู้สึกเลยว่า ... ร้านเจ๋งๆ มีเยอะจริงๆ ทั้งร้านกาแฟ ร้านนม ร้านอาหาร ร้านไวน์ ร้านศิลปะ ฯลฯ

มีโอกาสลองไปเดินกันดูครับ ... มันเยี่ยมมาก !!!

และที่มาของบทความนี้ มันเกิดขึ้นในช่วงเย็นของวันหนึ่ง ... ผมได้ไปแวะทานร้านก๋วยเตี๋ยวที่ชื่อ เนื้อตุ๋น รสเยี่ยม อยู่ซอยนิมมานฯ 11
เรื่องของเรื่อง มันเกิดตอนที่ทานใกล้หมดชาม ...

รู้สึกว่ามันอร่อยดี อยากกินอีก ... เงยหน้ามาถามน่้องๆ ที่ไปด้วยกัน

"มีใครจะเอาอะไรอีกบ้าง" ... ทุกคนตอบว่า "อิ่มแล้วพี่ ชามหนึ่งมันเยอะอยู่"

ใจหนึ่งผมก็อยากกินอีก / ใจหนึ่งก็ว่ากลัวกินไม่หมด / แต่ความจริงคือ กลัวโดนน้อง มันแซวว่า กินเยอะ !!! 

ก็เลยตัดใจไม่สั่งไป เอาของหวานมากินแทน

ขณะที่กินของหวานอยู่ ในหัวผมก็คิดไป "ทำไม มันไม่มีสั่งแบบครึ่งชามว่ะ ตรูจะได้สั่งมากินอีก"

และนั้นละครับ เป็นที่มาของไอเดียที่ฟุ้งสุดๆ ระหว่างที่นั่งรถกลับโรงแรม
.
.
.
คิดในใจว่า ก๋วยเตี๋ยวดังๆ มันต้อง ชื่อเจ๋งๆ แบบ ก๋วยเตี๋ยวห้อยขา ชายสี่หมี่เกี๊ยว อะไรประมาณนี้

หรือไม่ ก็ต้องออกแนว อิงกับท้องที่ระดับตำนาน เช่น เยาวราช สุโขทัย ฯลฯ

แล้วทำไม มันไม่มี ขายแบบครึ่งชามฟร่ะ ร้านนี้ !!! (กำลังโมโหตัวเอง ที่ไม่ได้สั่งมากินอีก เพราะกลัวเสียฟอร์ม T T ) 

ถ้ามีมันน่าจะขายได้นะ ชื่อมันเท่ดี เช่น ป.ก๋วยเตี๋ยว ครึ่งชาม (จะเติม ป. เติม ส. เติม ม. เข้าไปก็ได้ เพื่อเพิ่มความขลัง)

จะให้ดี ใส่ย่านเข้าไปด้วย เช่น ป.ก๋วยเตี๋ยว ครึ่งชาม ห้วยขวาง ... แหล่มเลย

แต่จะให้สุดยอด ต้องใส่ "ความแปลก แบบไม่เกี่ยวกัน" เข้าไปอีก กำลังฮิต แบบ กินติม ดูควาย !!!

เป็น "ป.ก๋วยเตี๋ยว ครึ่งชาม ห้วยขวาง ชม UFO"

ร้านเพิ่มการตกแต่งแบบอวกาศเข้าไปหน่อย มีจาน UFO ห้อยๆ อยู่ มีรูป Alien ทักทาย

ใครถามก็บอกว่า ขนาดมนุษย์ต่างดาว ยังอยากมากินเลย !!!


ไม่ดัง ให้มันรู้ไป ...

แต่พอมาถึงห้อง เพิ่งคิดได้ว่า ตรูทำก๋วยเตี๋ยวไม่เป็นนี่หว่า !!!

เลยคิดในใจ สงสัยจะเพราะแรงอยากกิน เลยผลักดันให้คิดเป็นเรื่องเป็นราว ได้ขนาดนี้

วันนี้ ก็เลย เอามาเล่าให้ฟังขำๆ ครับ
.
.
.
สุดท้าย มีคนรวยท่านหนึ่งเขาสอนผมมาว่า ไอเดียดีๆ หลายๆ ครั้ง เกิดแบบที่เราไม่ทันตั้งตัว 
อย่าลืมที่จะจดมันครับ ถ้ารุ่นเก๋า ก็จะเขียนลงมือ ลงกระดาษทิชชู่ อะไรก็ได้ที่หามาจดได้
ไอเดียที่จดเหล่านี้ นั้นแหละครับ ที่ทำคนรวยกันมาเยอะแล้ว

ของผมก็ขอจดลงบล็อกผมละกัน ... เผื่อจะรวยกับเค้าบ้าง ฮา 

Wikran M.

ติดตามบทความของผมต่อได้ทุกวันที่... 



วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Pub Marketing: อยากเปิดผับให้ดัง ทำยังไง

ธุรกิจผับหรือร้านเหล้า เป็นธุรกิจที่ใครหลายๆ คน อยากเปิด

แต่จะเปิดอย่างไรให้สำเร็จ มีคนเข้าร้าน เรื่องนี้ ... ไม่ง่าย

ผมมีเพื่อนที่เปิดร้านเหล้า แล้วล้มเหลวไม่เป็นท่าก็มี ด้วยความคิดที่ว่า

"มีโต๊ะนั่ง มีวงดนตรี แต่งร้านนิดหน่อย กับข้าวก็เอาที่ทำง่ายๆ"

เปิดมาไม่ถึง 3 เดือน ดูท่าจะไปไม่รอด เพราะไม่มีคนเลย มีแต่เพื่อนๆ มา

อันนี้ ก็เจ๊งกันไปตามระเบียบ
.
.
.
แต่ผมก็เคยคุยกับเพื่อนๆ ที่เป็นหุ้นส่วนร้านนั่งเล่น และร้าน Differ พัทยา ซึ่งคำตอบที่ได้ ว่าเปิดอย่างไรถึงจะดัง ถึงจะสำเร็จ น่าสนใจทีเดียว


ข้อแรก >>> ต้องตอบตัวเองก่อนว่า จะเปิดร้านเหล้าหรือผับ

- ถ้าเปิดร้านเหล้าให้เน้นที่การตกแต่งร้าน เน้นที่วงดนตรี เน้นที่อาหาร เน้นที่โปรโมชั่น เพราะคนมานั่งกินเหล้า มาพูดคุยกับเพื่อนๆ
- สรุปคือ "มากินบรรยากาศ พร้อมกับเพื่อนๆ"

- แต่ถ้าจะเปิดผับ เน้นเรื่องเดียวที่สำคัญมากๆ คือ "ผู้หญิง"
- ผู้ชายร้อยทั้งร้อย ไปเที่ยวผับ ยอมจ่ายแพง เพราะต้องการไปดูสาว ไปจีบหญิง
- ผู้หญิงจะมาเที่ยว ก็แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1.) ขาประจำพวกนักเที่ยวที่ชอบกินฟรี ทางร้านก็จะยอม เพราะเอาไว้เรียกหนุ่มๆ 2.) ขาจร กลุ่มนีต่างหาก ที่จะต้องเน้นในระยะยาว เพราะสาวๆ เหล่านี้ จะเรียนที่ดีๆ ทำงานที่ดีๆ ใครเข้าไปคุยก็นะ ผับนี้เจ๋งจริง ตัวอย่างก็เช่น Funky Villa และนั่งเล่น เป็นต้น
- สรุปคือ "เน้นสาวๆ ที่มาเที่ยว (หน้าตาดีด้วย ก็จะดีมาก)"


ข้อสอง >>> จะเปิดเป็นผับ รู้แล้วว่าต้องหาสาวๆ มาเที่ยว แต่จะทำยังไง

- สำหรับ เทคนิคการหาสาวๆ มาเที่ยวนั้น สำหรับขาประจำ ที่ขอกินฟรี คงหากันได้ไม่ยาก แต่สำหรับขาจร นี่แหละที่สำคัญ เพราะเป็นทั้งลูกค้าและตัวดึงดูด อันนี้ ต้องมีข้อมูล Insight กันหน่อย

- เหตุผลที่สาวๆ มักจะดูเวลาไปเที่ยวผับ

1.) ปลอดภัย >>> ร้านต้องมี รปภ เอาไว้ตรวจบัตร เอาไว้ดูแล ตอนมีเรื่อง พวกเค้าจะรู้สึกสบายใจ
2.) สะอาด หรูหรา >>> ร้านต้องดูสะอาด โดยเฉพาะห้องน้ำ ถ้าทำให้หรูหราได้ก็ดี เพราะสาวๆ จะชอบเป็นพิเศษ
3.) คนรู้จัก >>> ข้อนี้สำคัญมาก บรรดาเจ้าของร้านหรือหุ้นส่วน ต้องมีเพื่อนหลายๆ กลุ่ม ที่สามารถจะเข้าถึงบรรดาน้องๆ เกรดเอได้ เพราะถ้าบอกว่ารู้จักและให้ส่วนลดแล้ว พวกเค้าพร้อมที่จะพาเพื่อนๆ มาเที่ยวแน่นอน
4.) ชื่อเสียง >>> ข้อนี้สำคัญที่สุด สาวๆ มักจะไปเที่ยว ถ่ายรูป และเอาขึ้น Facebook ไว้อวดเพื่อนๆ ว่ามาเที่ยวที่ไหน ชื่อเสียงจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะถ้าร้านไม่ดัง ไม่ Cool ไม่โพสขึ้นอยู่แล้ว หรือไม่มาให้เสียเวลาด้วยซ้ำไป
สำหรับชื่อเสียงเกิดได้ทั้งจากการสร้างภาพและจากปากต่อปาก
     - สร้างภาพ มาจากการโฆษณาลงนิตยสาร เชิญรายการทีวีไปสัมภาษณ์ มีดารา ไฮโซ เป็นหุ้นส่วน
     - ปากต่อปาก นี่แหละสำคัญที่สุด คนต้องแน่นมากถึงมากที่สุด และสาวๆ หนุ่มๆ หน้าตาดีไปกันเยอะ

ข้อสาม >>> แล้วเรื่องอื่นๆ ที่ต้องรู้ เวลาเปิดผับล่ะ

- ย่านที่เปิด ... ถ้าจะเปิดผับในกรุงเทพ ให้ดูที่ถนนเอกมัยและทองหล่อเป็นหลัก ถ้าจะไปย่านอื่น ก็ต้องดูดีๆ ว่าควรจะเปิดเป็นร้านเหล้าหรือผับ
- ที่จอดรถ ... อันนี้ก็สำคัญ ต้องดูแลลูกค้าให้ดี สมัยนี้ต้องมี Valley รับรถ ที่ดูน่าเชื่อถือ และมีที่จอด VIP ให้พวกรถหรูๆ จอดหน้าร้าน
- ตำรวจ ... ธุรกิจนี้ ถ้าทุกอย่างดีหมด แต่ไม่ได้เคลียร์ตำรวจไว้ ถึงจะเป็นเจ้าใหญ่แค่ไหน ก็ล้มได้ทั้งนั้น เดี๋ยวโดนบุกตรวจตอนเที่ยงคืน ตีหนึ่ง มั้งล่ะ โดนตั้งด่าน ตั้งแต่หน้าร้าน มั้งล่ะ เพราะฉะนั้นไปคุยกับเฮียๆ เค้าให้เรียบร้อย
- อื่นๆ เช่น ชื่อร้าน การจัดโซนร้าน การตกแต่งร้าน ดนตรี และอาหาร เป็นต้น
.
.
.
ผมขอสรุปให้ดูเป็นหลักการตลาดอีกครั้ง สำหรับ Pub Marketing นะครับ

1. ตอบสนองความต้องการของลูกค้า (Response to Customer's Wants)
    - ผู้ชาย >>> ร้านมีกลุ่มผู้หญิงหน้าตาดีเยอะๆ
    - ผู้หญิง >>> เน้นเรื่องคนรู้จักและชื่อเสียง
2. ส่วนผสมทางการตลาด (Marketing Mix, 4Ps)
   - Product: ร้านหรูหรา บริการดี สะอาด ปลอดภัย ดนตรีมันส์ อาหารโอเค
   - Price: ราคาตั้งพอๆ กับร้านใกล้เคียง ที่ดังๆ (ราคาไม่ค่อยเกี่ยว)
   - Place: ย่านที่เปิดสำคัญมาก ย่านดีๆ อาจจะแพง แต่ถ้าคิดจะเปิดต้องลงทุน
   - Promotion: ข้อนี้ ขอกล่าวเป็น กลยุทธ์การสื่อสารการตลาด ครับ
3. กลยุทธ์การสื่อสารการตลาด (Marketing Communication Strategy)
   - การสื่อสารการตลาดก็ทำทั่วไป เช่น โฆษณาลงนิตยสารหรือรายการทีวี
   - แต่จะให้ดัง อาจจะต้องใส่วิชาพิเศษเข้าไปหน่อย เช่น กลยุทธ์ภาพหลุดดารา ไฮโซ ที่ผับนี้ กลยุทธ์สร้างกระแสสาวสวยมาเที่ยวผับนี้ในโลกออนไลน์ กลยุทธ์รถหรูหน้าร้าน กลยุทธ์สาวๆ ใจดี แจกเบอร์ง่าย (อันนี้ จ้างมา) และกลยุทธ์คนแน่น เกิดกระแสปากต่อปาก (Word of Mouth)

***สุดท้าย ธุรกิจนี้ คนสำเร็จ เค้าบอกว่าคืนทุนไม่เกิน 3 - 6 เดือน ถ้าเกินนั้น โอกาสที่คุณจะเจ๊ง จะมีสูง และธุรกิจนี้ก็มี Business Life Cycle ของมัน มีทั้งช่วงขึ้นและช่วงลง ถ้าหากลงยาวแล้ว แนะนำว่าให้ปิด เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนการตกแต่งใหม่ จะดีกว่า ดันทุรังต่อไป ให้เสียตังค์ฟรี เจ็บใจเล่นครับ

สาวๆ ที่จะมา ผมแนะนำว่าต้องประมาณนี้นะครับ ... จะมีโอกาสเกิดสูง ^^

และถ้าเพื่อนๆ คนไหน สนใจแนวร้านกาแฟ ก็ไปต่อกันที่บทความนี้ได้เลย...
Coffee Shop Marketing: ทำร้านกาแฟยังไง ให้สำเร็จ


แล้วพบกันใหม่ เร็วๆ นี้ครับ

Wikran M.

ติดตามบทความของผมต่อได้ทุกวันที่... 



วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Unique Selling Point ... "กินติม ดูควาย"

กาลครั้งหนึ่ง ... สมัยก่อน

ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรก หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อปี คศ. 1945

เป็นยุคที่ ใครมีโรงงาน ผลิตได้เยอะ และทำได้ถูกกว่า ผลิตอะไรก็ขายได้หมด กลายเป็นคนร่ำรวยมหาศาล

ต่อมา ผู้คนต่างแข่งกันผลิต จนเริ่มผลิตสินค้าเยอะมาก จนเกิดทางเลือกขึ้นกับผู้บริโภค

ทำให้เข้าสู่ยุคแข่งกันขาย ... โดยใครขายเก่งกว่ากัน คนนั้นเป็นผู้ชนะ

จึงเกิดหลักการหนึ่งขึ้นมาคือ Unique Selling Point หรือ USP 

USP คือการหาจุดขายเฉพาะที่ดีกว่า โดดเด่นกว่า คู่แข่งในตลาด มานำเสนอต่อผู้บริโภค รวมถึงโจมตีคู่แข่งที่ด้อยกว่าไปในคราวเดียวกัน

พอมาสมัยปัจจุบัน รูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป จากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 ซึ่งมาจากการเกิดขึ้นของโลกอินเทอร์เน็ต การแข่งขันที่เปลี่ยนรูปแบบไป ทำให้บริษัทเรียนรู้ที่จะใช้ เรื่องของจุดยืน (Positioning) และการสร้างแบรนด์ (Branding) ในการสู้รบระยะยาว เพราะได้ผลมากกว่า และยั่งยืนกว่า
.
.
.
แล้วถ้าวันหนึ่ง เราจะมีร้านค้าเป็นของตัวเองล่ะ หลักการตลาดอะไร ที่เราจะใช้ได้บ้าง ???

คงไม่ต้องใช้ STP, Branding, Marketing Mix, IMC นะ พร้อมมันซับซ้อนเกินไป กับการเปิดร้าน แล้วขายของ !!!
.
.
.
สิ่งที่ทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ก็คือ ... ตอนที่ผมเห็นร้านไอติมร้านหนึ่ง ที่ผมเดาว่า เจ้าของคงไม่ได้จบการตลาด ... แต่เค้ามีหัวคิดแบบการตลาดมากทีเดียว 

นั้นก็คือ ร้านกินติม ดูควาย




จากร้านไอติมทั่วไป พอใส่เรื่องการตลาด โดยมีจุดขายเฉพาะ (USP) ที่ยังไม่มีใครเคยทำ และช่างสร้างสรรค์มากๆ เข้ามา ... ซึ่งก็คือ การกินไป ดูควายไป ... ก็ทำให้ดังจากกระแสปากต่อปาก จนถึงการออกรายการของช่อง Free TV ไม่ว่าจะเป็นช่อง 3 ช่อง 5 หรือช่อง 7 ที่ต้องการข่าวอยู่แล้วเข้ามาช่วยโหมกระแส ก็ดังไปกันใหญ่



ไม่พอครับ กระแสสังคมออนไลน์ ก็พูดถึงเรื่องนี้กันเยอะ จนกลายเป็น Talk of the Town เลยทีเดียว

สื่อต่างๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น เจ้าของร้านไม่ได้เสียตังค์ซื้อเลยนะครับ

ซึ่งหากตีจากมูลค่าสื่อที่ออกมาแล้ว แคมเปญนี้ ถ้าใช้เงิน ไม่น่าต่ำกว่าหลักล้าน สุดยอดจริงๆ

ยิ่งไปกว่านั้น คือผมเห็นคนโพสว่า ไปชลบุรี เพื่อไปทานร้านนี้โดยเฉพาะด้วย แสดงว่าสื่อเข้าถึงมากๆ
.
.
.
จากกระแสทั้งหมดที่เกิดขึ้น ผมคิดว่า เจ้าของร้านท่านนี้ ควรจะได้รางวัลสาขาการตลาดยอดเยี่ยมประจำปี 2555 ด้วยซ้ำไป

จุดสำคัญของเรื่องนี้ คงบอกให้เราๆ นักการตลาดทุกท่านว่า บางทีการมีจุดขายเฉพาะ (USP) ที่แตกต่างและสร้างสรรค์ อาจทำให้ท่านประสบความสำเร็จได้อย่างคาดไม่ถึง

และคำถามสำคัญ 3 ข้อ ที่เราๆ อาจจะหลงลืมไป เวลาทำธุรกิจและการตลาด

1.) จะขายอะไร
2.) จะขายใคร
3.) ทำไมคนถึงต้องซื้อ

ถ้าตอบได้ รับรองไปรอด แต่ถ้าตอบไม่ได้ ... ก็ควรจะไปทบทวนดูอีกครั้ง ก่อนจะลงมือทำครับ

ในกรณีร้านกินติม ดูควาย

1.) จะขายอะไร - ขายไอติม ที่มาพร้อมบรรยากาศการดูควาย
2.) จะขายใคร - ขายนักท่องเที่ยวและคนที่ขับรถผ่านไปมา
3.) ทำไมคนที่ต้องซื้อ - จุดขายที่แปลกแบบไม่มีใครเหมือน หาที่อื่นไม่ได้


ตอบได้ครบทั้ง 3 ข้อ จริงๆ

นับถือๆ ครับ

Wikran M.

ติดตามบทความของผมต่อได้ทุกวันที่... 



วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2555

แบรนด์ Brands ... คนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ซื้อ

เคยได้ยินกลยุทธ์การตลาดนี้ไหมครับ

"คนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ซื้อ"

แบรนด์ซุปไก่ ที่โด่งดังในบ้านเราใช้กลยุทธ์นี้ ในการทำตลาดครับ


ผมเคยได้ยินว่า จริงๆ แล้วตัวแบรนด์ซุปไก่ ในเรื่องของประโยชน์ (Benefits) ที่คนทานจะได้รับ จัดว่าธรรมดามากๆ เมื่อเทียบกับอาหารเสริมอื่นๆ คนวงในยังพูดเองเลยครับ ว่า ... ไม่ต่างจากน้ำต้มไก่ สักเท่าไหร่

ด้วยข้อจำกัดนี้ จึงทำให้แบรนด์เน้นทำตลาด ในเรื่องอารมณ์ หรือ Emotional มาตลอด โดยขยับจากการพูดประโยชน์ (Benefits) มาพูดเรื่องคุณค่า (Values) ที่จะได้รับ โดยใส่เรื่องของ "ความรัก" "ความรู้สึกดีๆ" เข้ามา


และใช้ Brand Ambassador ที่มีชื่อเสียงมาก ได้รับความนิยมสูง ภาพลักษณ์ดี มาตลอด
.
.
.
ส่วนกลยุทธ์ "คนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ซื้อ" 

เป็นความชาญฉลาดอย่างยิ่งของแบรนด์ เนื่องจากวางตัวเอง เป็นของดี เกรดพรีเมี่ยม สำหรับในทุกโอกาสการให้ ไม่ว่าจะเป็น ปีใหม่ ตรุษจีน และเยี่ยมไข้

คนซื้อ ... ซื้อโดยไม่คิดมาก เพราะไม่ได้ใช้ ... แต่เอาไปมอบให้คนอื่นตามโอกาส
คนใช้ ... ไม่ได้ซื้อ เพราะได้รับมาฟรี ... รู้สึกดี เพราะของมันแพง และคงจะไม่มีใครบอกว่า ทานแล้วเฉยๆ

นอกจากนั้น แบรนด์ ยังมีความฉลาด ในเรื่องการเจาะตลาดกลุ่มเด็ก ซึ่งก็คือ Brands' Summer Camp



ตอนสมัยผมเป็นนักเรียนขาสั้น ก็ดื่มแบรนด์ก่อนสอบทุกครั้ง คือ คิดไปเองว่าจะทำให้อ่านหนังสือ จำได้ดีขึ้น สมองฉลาดขึ้น เลยกินทุกคืนในช่วงอ่านหนังสือ และก่อนเข้าห้องสอบ

ผ่านมาจนปัจจุบัน แบรนด์ก็ยังจัดกิจกรรมนี้อยู่ ... เพราะได้รับผลตอบรับดีมาก

แต่ก็มีคู่แข่งใหม่เกิดขึ้นมา นั้นก็คือ เปปทีน ที่ลุยทำ Peptein Genius Generation 


ซึ่งวางจุดยืน เรื่องทานแล้วฉลาด เตรียมสมองให้พร้อม มาชนกับแบรนด์เต็มที่ ในกลุ่มเด็กนักเรียน ... และก็ได้ผลตอบรับดีซะด้วยสิ

ตลาดนี้ ไม่มีใครตอบได้ ว่าตกลงทานแล้ว มันดียังไง 

แต่ที่แน่ๆ ... คนที่ซื้อทานเอง ... มักจะซื้อด้วยอารมณ์ที่การตลาดสร้างมา ... คือทานแล้วจะดี หรือทานแล้วทำให้ตัวเองมีความมั่นใจมากขึ้น ... มากกว่าจะถามตัวเองว่า ทานแล้ว ได้ผลจริงไหม

นี้แหละครับ การทำตลาดด้วยอารมณ์ (Emotional Marketing) ของจริง 

ไม่มีสอนในตำรา แต่มาจากประสบการณ์ !!!

Wikran M.

ติดตามบทความของผมต่อได้ทุกวันที่... 



วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2555

นันยาง Nanyang ... การตลาดของจริง

ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ... ฮู้ว นานมาก สมัยผมยังเป็นนักเรียนขาสั้น

นันยางในตอนนั้น ใครไม่ใส่ ไปใส่ยี่ห้ออื่น จะถูกมองว่า ... ไม่เก๋า

มาสมัยนี้ ไม่รู้เป็นยังไง เพราะผมไม่ได้สนใจหรือเกี่ยวข้องกับตลาดนี้เลย

.
.
.
แต่เมื่อไม่กี่วันก่อน มีน้องมาเล่าให้ฟัง ขึ้นรถไฟฟ้าแล้ว สะดุดกับ Ads ตัวหนึ่ง ประมาณไม่ได้สนใจอะไร แต่เห็นนักเรียนหญิงน่ารักในโฆษณา มาพูดยืดหยุ่นๆ ก็เลยดูซะ แล้วก็จำได้แม่นซะด้วย ว่าเป็นแบรนด์นันยาง

ผมในฐานะนักการตลาดที่ดี เมื่อมีอะไรมาเข้าหู ก็เลยต้องศึกษาซะหน่อย (ไม่ได้อยากดูนักเรียนหญิง จริงๆ นะ ^ ^)

ก็พบว่า นันยาง เค้าทำตลาดได้ดีจริงๆ มาดูโฆษณาล่าสุดกัน



และก็มีอีกตัว ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน อันนี้ก็ หนึบๆ



โฆษณาชุดนี้ ใช้ชื่อแคมเปญว่า "นันยาง รู้ใจพวกนาย"

ก็น่าจะโดนใจ ... กลุ่มเป้าหมายนะ ผมว่า

แต่ของจริง มันอยู่ที่การเน้นสื่อที่เข้ากับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ซึ่งนันยางเลือกที่จะไปกับ Social Media เน้นที่ Facebook

ตอนนี้ก็มียอด Like 150,000 แล้ว ถือว่าเก่งทีเดียว


การมียอด Like 150,000 คน นั้น หมายถึง ถ้านันยางมีข่าวประชาสัมพันธ์อะไร จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ถึง 150,000 คน ทันที ที่สำคัญคือ ฟรี ไม่เสียตังค์ ... และเป็นกลุ่มเป้าหมายนักเรียน วัยรุ่น จริงๆ ดูได้จากข้อมูลสถิติของ Facebook

นอกจากนั้น นันยางยังทำ Below The Line ทำกิจกรรมการแข่งขันฟุตบอลพลาสติก "นันยาง โกลหนู ..." ซึ่งมีทีมเข้าร่วมแข่งขันกว่า 1,000 ทีม จากทั่วประเทศ 

เป็นไปตาม ... เคล็ดลับการตลาด ... ที่ผมเรียนรู้มาจากมหาเศรษฐีเบอร์ต้นๆ ของประเทศ ... ว่า 

"จะสร้างธุรกิจ จะสร้างตลาด จะสร้างแบรนด์ให้สำเร็จ ต้องเข้าถึงคนอย่างน้อยหลักพัน ให้รู้จักและใช้สินค้า และให้คนหลักพันเป็นแรงขับเคลื่อนต่อไป ให้เป็นหลักหมื่น หลักแสน และหลักล้าน"

.
.
.
ต้องขอชมคนทำการตลาดของนันยาง ... เพราะทำตลาดมาได้ถูกทางมากๆ 

อนาคตต่อไป ... นันยางคงเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดนี้ไปอีกนาน ... 

ด้วยการตลาด ที่ทำแล้ว ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งกล่อง

นันยาง สุดยอด แบรนด์ไทย จริงๆ ...

Wikran M.

ติดตามบทความของผมต่อได้ทุกวันที่... 



Celeb Marketing ตอนที่ 3: Celeb Product

มาถึงตอนสุดท้ายของ Celeb Marketing คือการทำตลาดแบบที่ให้ Celeb ผูกตัวเองเข้ากับผลิตภัณฑ์

ยกตัวอย่างเช่น

คุณพลอย เฌอมาลย์ ที่ร่วมออกแบบเสื้อผ้าแบรนด์ Chaps หรือ CPS


คุณอั้ม พัชราภา กับชุดชั้นในแบรนด์ Kyra ที่ร่วมออกแบบเช่นกัน


ความพิเศษของการตลาดลักษณะนี้คือ ดึงจุดเด่นของ Celeb คนนั้น เช่นคุณอั้ม Sexy ก็ดึงมาทำชุดชั้นใน นอกจากนั้นยังมีน้ำหอม ที่นำเรื่องความดึงดูดต่อเพศตรงข้าม หรือ Sex Appeal มาใช้ได้อย่างลงตัว


การทำตลาดลักษณะนี้ ได้รับอิทธิพลมาจากเมืองนอก ที่มักนำ Celeb ที่มีชื่อเสียง มามีส่วนร่วมกับสินค้า 
.
.
.
เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว ที่ Nike ทำตลาดอย่างหนักกับ Nike Air-Jordan ออกแบบมาสำหรับนักบาสชื่อดัง ไมเคิล จอร์แดน



ใครเล่นบาสสมัยนั้น มีใส่ละก็ จัดว่า เท่มาก !!!

ย้อนกลับไปประมาณ 5 ปี ก็เห็นจะมี น้ำหอมแบรนด์ Believe ของบริทนีย์ สเปียร์ ที่ใน Ads หุ่นยังเซี้ยะอยู่


ปัจจุบันก็มีทำการตลาดลักษณะนี้กันอยู่อีกเยอะ ทั้งในรูปแบบจ้างเฉพาะกิจ หรือเชิญมาร่วมเป็นผู้ถือหุ้น และทำตลาดผูกกับแบรนด์ ผูกกับผลิตภัณฑ์ไปเลยก็มีให้เห็นเยอะ

ถ้าในเมืองไทย การทำตลาดลักษณะที่ให้ Celeb เข้ามาถือหุ้น แล้วถือว่าได้ผลดี เห็นจะเป็นธุรกิจแนวผับ ร้านเหล้า เช่น Funky Villa ที่คนไปเที่ยวเยอะมาก ... ก็เกิดจากการที่บอกว่าเป็นร้านของบรรดา Celeb


สาวๆ ที่มาเที่ยว จัดได้ว่า ... สุดยอด 

ซึ่งการทำตลาดของบรรดาผับดังทั้งหลาย ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เท่าที่ผมทราบ ไม่ว่าจะเป็น ร้านนั่งเล่น, Route, Muse หรือ Funky ไม่มีฟลุ๊กนะครับ ฝีมือล้วนๆ แต่จะทำด้วยวิธีไหน เดี๋ยววันหลัง ค่อยมาว่ากัน ... 
.
.
.
ข้อควรระวังของ Celeb Marketing

1.) Celeb ที่ใช้ต้องไม่มีภาพลักษณ์ไปในทางเสื่อมเสีย ในบ้านเราคือ เรื่องยาเสพติด ห้ามเด็ดขาด

2.) รักจะทำ Celeb Marketing อย่าขี้เหนียว ถ้า Agency รู้ว่าคุณไม่ค่อยมีตังค์ แต่อยากทำ เค้าจะเชียร์ให้คุณใช้ดาราที่กำลังจะเกิด ซึ่งมันไม่เคย work เพราะตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จัก ทำไปก็เงียบสนิท เอาตังค์ไปใช้อย่างอื่น ให้เกิดผลดีกว่าครับ

3.) การต่อรองต้องเป็น เรื่องนี้ คุณต้องดูดีๆ ปรึกษาคนที่รู้จริง เพราะบรรดา Agency ที่ติดต่อให้ เป็นพวกเขี้ยวลากดินอยู่แล้ว ข้อตกลงหรือราคาอาจจะโดนเอาเปรียบกันง่ายๆ
.
.
.
สุดท้าย ... Celeb Marketing ดีครับ ทำเป็นเถอะ 

แต่ต้องทำให้เหมาะ ทำให้เป็น เงินต้องถึง

เกิดได้ทุกแบรนด์ครับ ... ในบ้านเรา

Wikran M.
.
.

>> Celeb Marketing ตอนที่ 1
>> Celeb Marketing ตอนที่ 2


ติดตามบทความของผมต่อได้ทุกวันที่...