วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Basic Marketing #2: แผนการตลาด... Marketing Plan

สำหรับนักการตลาดทุกคน... แผนการตลาด หรือ Marketing Plan ถือว่ามีความสำคัญมาก

เพราะก่อนที่จะลงมือทำอะไรก็ตาม... ต้องเริ่มจากการวางแผนก่อนเสมอ


สำหรับแผนการตลาด... สามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ส่วนสำคัญ ดังนี้ครับ...

1.) การวิเคราะห์สถานการณ์ (Situation Analysis)

2.) การตั้งวัตถุประสงค์ (Objectives)

3.) การกำหนดกลยุทธ์ (Strategy)

4.) การกำหนดแผนดำเนินการ (Action Plan)

5.) การประเมินผล (Evaluation)

โดยแต่ละส่วนล้วนมีรายละเอียดสำคัญ ที่ต้องเข้าใจ คือ...

การวิเคราะห์สถานการณ์ (Situation Analysis)... เป็นสิ่งแรกที่นักการตลาดต้องทำเวลาวางแผน ไม่ใช่เดาสุ่ม นั่งเทียนคิดไปเอง เพราะฉะนั้นต้องหาข้อมูลมาเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ให้ได้

หาข้อมูล >>> วิเคราะห์สถานการณ์ >>> สรุปการวิเคราะห์สถานการณ์

ซึ่งจะหาข้อมูลอะไร ก็ต้องรู้ก่อนว่าจะวิเคราะห์อะไรบ้าง... โดยผมมักใช้ 5C Analysis

ซึ่ง 5C ประกอบจาก Company (บริษัทเรา) - Competitor (คู่แข่ง) - Customer (ลูกค้า) - Collaborator (ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง) และ Climate (บรรยากาศ)

การวิเคราะห์บริษัท (Company) เราสามารถใช้เครื่องมือ (Tools) ได้หลายตัวเช่น Business Types, Product Life Cycle, BCG Matrix และ Marketing Mix เป็นต้น

การวิเคราะห์คู่แข่ง (Competitor) ผมมักใช้เครื่องมือ (Tools) เช่น Market Share, Product Positioning และ Five-Forces Model เป็นต้น

การวิเคราะห์ลูกค้า (Customer) สามารถวิเคราะห์ได้จาก Market Size, Market Growth, Consumer Behavior, Needs & Wants, Black Box, Consumer Buying Roles และ Customer Development Process เป็นต้น

การวิเคราะห์ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง (Collaborator) เช่น Supplier, Distributor, Alliance และ Partner เป็นต้น

การวิเคราะห์บรรยากาศ (Climate) สามารถใช้หลัก PEST ในการวิเคราะห์ได้ โดย PEST ย่อมาจาก Political, Economic, Social และ Technology

หลังจากรู้แล้วว่าต้องวิเคราะห์อะไรบ้าง... ก็จะสามารถหาข้อมูลได้โดยวิธีการหาข้อมูลทั่วไปและการทำวิจัย (Research)

หลังจากที่หาข้อมูล วิเคราะห์ 5C แล้ว... จึงจะมาสรุปการวิเคราะห์ด้วย SWOT และ TOWS Matrix

ซึ่งจากข้อมูลที่เราได้จากการสรุปการวิเคราะห์สถานการณ์จะนำไปตั้งเป็นวัตถุประสงค์ (Objectives)

โดย Objectives สามารถตั้งได้ด้วยหลัก SMART - Specific, Measurable, Achievable, Realistic และ Timeline

หลังจากตั้งวัตถุประสงค์หรือ Objectives เสร็จ... ก็จะมากำหนดกลยุทธ์ (Strategy) ที่จะมาทำให้บริษัทบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ตั้งไว้

Strategy หรือกลยุทธ์... จะเน้นไปทางกลยุทธ์การตลาด 4 ตัวนี้

STP >>> Branding >>> Marketing Mix >>> IMC

ซึ่งในแต่ละตัวก็จะมีรายละเอียดและกลยุทธ์ปลีกย่อยที่ต้องทำการศึกษาต่อไป...

นอกจากนั้นก็มีกลยุทธ์การตลาด CRM และ CSR ที่มองข้ามไม่ได้ด้วย

หลังจากกำหนดกลยุทธ์เสร็จ... ก็มากำหนดแผนดำเนินการ (Action Plan) ต่อ

Action Plan ประกอบด้วย... Tasks & Description, Timeline, Budget และ Responded By

ในส่วนของแผนดำเนินการต้องลงรายละเอียดให้ได้มากที่สุด... เพื่อลดความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นตอนลงมือปฏิบัติ (Implementation) ตามแผนงาน (Plan) ที่กำหนดไว้

หลังจากกำหนด Action Plan เสร็จแล้ว... ก็จะมาถึงขั้นตอนสุดท้ายของการวางแผน นั่นก็คือ การประเมินผล (Evaluation)

ซึ่งการประเมินผลประกอบด้วย... Assessment, Measuring Criteria, Tracking & Report, KPI และ Balanced Scorecard ครับ... โดยหลักของการประเมินผลคือ ทำให้ผู้ปฏิบัติได้ตรวจสอบตัวเองว่า... ที่ทำไปมาถูกทางหรือไม่ ได้ตามเกณฑ์ที่ต้องการหรือปล่าว และจะสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ได้หรือไม่ เป็นต้น
.
.
.
ทั้งหมดนี้คือ รายละเอียดโดยสังเขปของการวางแผน (Planning) ครับ

เมื่อเราวางแผนเสร็จ สิ่งสำคัญคือนำเสนอแผน... พร้อมของบประมาณ (Budget) ตามแผนที่เสนอไป

ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมานั่งคุยกันเยอะเรื่องตัวเลขงบประมาณนี่แหละครับ... ถ้าผู้บริหารมองว่ามากไป ก็จะขอปรับลดลง... ซึ่งเราก็ต้องกลับมาปรับแผนการตลาดใหม่ และนำเสนออีก จนกว่าจะได้รับการอนุมัติ

เมื่อได้รับการอนุมัติแล้ว... แผนนั้นถึงจะเรียกว่า แผนการตลาด หรือ Marketing Plan จริงๆ ครับ

ในกรณีที่คนทำเป็นเจ้าของธุรกิจเองก็จะง่ายหน่อย... เพราะระหว่างที่ทำแผนและงบประมาณก็จะระมัดระวัง รอบคอบอยู่แล้ว... เพราะมันเป็นเงินเราเองนี่ครับ ต้องใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดถึงจะยอมใช้ ฮา ^^

สุดท้ายนี้ผมมีความตั้งใจที่จะเขียนรายละเอียดของเครื่องมือ (Tools) ที่ได้นำเสนอไปและที่ยังไม่ได้เสนอเช่น  Business Types, Product Life Cycle, BCG Matrix, Market Share, Product Positioning, Five-Forces Model, Market Size, Market Growth, Needs & Wants, Black Box, Consumer Buying Roles, Customer Development Process, SWOT, TOWS Matrix, STP, Branding, Marketing Mix, IMC, CRM, CSR และตัวอื่นๆ อีกหลายตัวที่จำเป็นต่อการวางแผนการตลาด

หากท่านผู้อ่านสนใจรับฟังหลักการวางแผนการตลาด (Marketing Plan) เพิ่มเติม... สามารถรับฟังได้จากคลิปด้านล่างนี้ได้เลยครับ



ติดตาม MarKeTing InDeed ClassRoom (MIC) ได้ทั้งหมด... ตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงครั้งล่าสุดได้ที่ Link นี้ครับ...

ห้องเรียนการตลาด MarKeTing InDeed ClassRoom - Youtube
.
.
.
โดยผมจะนำเสนอในหัวข้อ Basic Marketing ไปที่ละตัวๆ ... แต่ถ้าท่านผู้อ่านท่านใด สนใจอยากศึกษาเลย เพราะต้องเอาไปใช้ในการทำแผนการตลาดของบริษัทละก็... ลองหาอ่านได้จากหนังสือ Marketing for Work... งานตลาด วางจัดจำหน่ายตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป เช่น ซีเอ็ด นายอินทร์ B2S และแพร่พิทยา เป็นต้น... หนังสือเล่มนี้ มีเนื้อหาครบถ้วนกระบวนทัศน์... แบบนำไปใช้วางแผนการตลาดได้เลย รวมถึงมีการแนะนำการนำแผนไปปฏิบัติด้วย... ซึ่งหนังสือเล่มนี้ ผมเป็นคนเขียนเองครับ รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน เพราะมันคือหนังสือ How to และ Step by Step ที่เข้าใจได้ง่าย และนำไปใช้ได้จริง ตอนนี้ก็พิมพ์ครั้งที่ 3 ไปแล้วน้อ... หลังจากออกมา 2 เดือนเป็นปลื้มจริงๆ ครับ ^^

ปกเป็นแบบนี้ครับ...


แต่สำหรับท่านผู้อ่านที่อยากจะอ่านจากบล๊อกผมต่อ... รับรองก็ไม่ผิดหวังเช่นกันครับ เพราะจะเขียนครบถ้วน พร้อมยกตัวอย่างใหม่ๆ ประกอบด้วย... รอติดตามกันได้เลยคร้าบบบ ^^

แล้วเจอกันเร็วๆ นี้ครับ

Wikran M.


ติดตามบทความของผมต่อได้ทุกวันที่... 

วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Sexy Marketing: การตลาดเกินห้ามใจ (Axe, PTT & Air Asia)

การมองเรื่อง Sex สามารถมองได้ 2 แบบคือ...

มองแบบ "Sexy" ... เซ็กซี่ มีเสน่ห์ ดึงดูดเพศตรงข้าม

มองแบบ "Porn" ... โป๊ ทำให้เกิดอารมณ์แบบดิบๆ ตรงๆ 

ซึ่งการทำโฆษณาหรือสื่อการตลาดใดๆ ก็ตาม มักจะเน้นให้ออกในรูปแบบ Sexy มากกว่าแบบดิบๆ ที่เป็น Porn

สาเหตุที่ใช้ความเซ็กซี่ในการทำตลาด แน่นอนว่าคือ... เพื่อดึงดูดผู้คนให้สนใจกับแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์นั้นๆ... รวมถึงการปรับเปลี่ยนแบรนด์ให้ดูทันสมัยขึ้น มีเสน่ห์น่าค้นหามากขึ้น และดูเป็นหนุ่มเป็นสาวมากขึ้น

Axe... เจ้าพ่อ Sexy Marketing ในตลาดผลิตภัณฑ์ For Men หรือผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชาย

Axe ไม่เคยทำโฆษณาแนวลามกหรือ Porn แต่จะเป็นแนว Creative Sexy ตลอด... ซึ่งทำให้แบรนด์แข็งแกร่งและมีเสน่ห์ ถูกใจหนุ่มๆ กลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างมาก

PTT หรือ ปตท. ใช้ Sexy Marketing เปลี่ยนจุดยืนแบรนด์ให้ดูทันสมัยเข้ากับคนรุ่นใหม่ได้

จาก Blue Innovation Campaign ที่กวาดมาหลายรางวัล และสร้างแบรนด์ PTT ให้แข็งแกร่งและดูทันสมัยขึ้นอย่างชัดเจน
สำหรับ Campaign นี้ ต้องขอชมผู้บริหารของปตท. จริงๆ ครับ ว่า "กล้าและใจถึงมาก" เพราะการที่กล้าตัดสินใจทำแคมเปญออกมา Sexy + Grand ขนาดนี้... ต้องผ่านมรสุมพวกหัวอนุรักษ์นิยมในองค์กรมาอย่างแน่นอน... แต่สุดท้ายผลที่ออกมา... Re-Brand ได้สำเร็จ เป็นที่น่าประทับใจจริงๆ ครับ ปรบมือดังๆ ให้เลย

Air Asia... เซ็กซี่ได้ด้วยสายตา
ผมชอบอย่างหนึ่งใน Ads โฆษณาของ Air Asia คือมันดูเซ็กซี่นะครับ แต่ไม่เคยเปิดไหล่ โชว์หน้าอก หรือหมิ่นเหม่ไปทางยั่วยวนทางเพศเลย... แต่ดูแล้วมัน Sexy มีระดับจริงๆ
ขอชมทีมงาน Production ทั้งคนถ่าย คนเลือก Model และช่างแต่งหน้า Make Up Stylist ครับ... ทำออกมาแล้ว สุดยอดจริงๆ
.
.
.
สุดท้ายก็ขอจบด้วยงาน Event ต่างๆ ในบ้านเรา ที่สมัยนี้ต้องใช้ Sexy Marketing อย่างจริงจัง โดยออกมาในรูปแบบของน้องๆ Pretty ที่ต้องแต่งตัวกันสุดยอด เพื่อดึงดูดหนุ่มๆ ให้เข้าบูธ มาสนใจกันให้ได้มากที่สุดครับ มาดูกันเลย...

เริ่มจากงาน Motor Show... จุดเริ่มต้นของ Pretty ในบ้านเรา
งาน Bangkok International Game Festival หรือเรียกย่อๆ ว่า งาน BIG Fes ...
BIG Fes เป็นงานมหกรรมเกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบ้านเรา... ในเมื่องานมันใหญ่ ก็ต้องจัดอาวุธหนักในงานกันหน่อย น้องๆ ไม่แพ้งาน Motor Show เลยทีเดียว
ก็ประมาณนี้ครับ... สำหรับ Sexy Marketing ฝากไว้ว่า "ระวัง อย่าข้ามเกินไปดินแดนของ Porn" นะครับ เพราะจะทำให้แบรนด์ภาพลักษณ์ไม่ดีและคุณค่าของแบรนด์จะดูตกต่ำลงอย่างน่าเสียดาย

แล้วพบกันใหม่ เร็วๆ นี้ครับ
Wikran M.

ติดตามบทความของผมต่อได้ทุกวันที่... 


วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Youtube Marketing: VRZO, iScream & เสือร้องไห้

เพื่อนๆ เชื่อไหมครับว่า...

"ยุคนี้ Youtube กลายเป็นสื่อที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก"

ผมเชื่อครับ... ถ้าเป็นสมัยก่อนใครคิดจะทำอะไร ที่จะสื่อสารถึงตลาด Mass

สำคัญที่สุด คุณต้องมีเงินซื้อสื่อและสื่อที่เวิร์คก็พวก TV, Radio, Newspaper, Magazine และ Billboard

แต่พอมาปัจจุบัน Youtube กลายมาเป็นสื่อ Mass สำหรับคนรุ่นใหม่

คิดง่ายๆ นะครับ ปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นกลุ่มวัยรุ่น กลุ่มนักเรียน กลุ่มนักศึกษา กลุ่ม First Jobber กลุ่ม White Collar ล้วนมี Lifestyle ที่เสพสื่อโลกออนไลน์มากกว่าโลกแห่งความจริง

- ดูละครไม่ทัน... ก็หาใน Youtube ดู

- อยากดู MV... ก็หาใน Youtube ดู

- อยากดูวิธีทำอาหาร... ก็หาใน Youtube ดู

- อยากดูดาราคนนี้... ก็หาใน Youtube ดู

ฯลฯ

ผมเคยเขียนบทความไปแล้วในเรื่อง Viral Marketing และ Celeb Online

ว่ามีหลายแบรนด์และหลายคนที่เกิดเพราะ Youtube...

อย่างนี้จะให้มองข้ามได้ยังไงครับ...

Youtube กลายมาเป็นช่องทางแบบสื่อทีวี ที่ใครอยากจะพูด อยากจะกล่าว อยากจะสร้างอะไร ก็ทำได้หมด

สุดท้ายผู้คนจะเป็นคนตัดสินจาก Views และ Likes !!!

ถ้าคุณอยากทำการตลาดผ่าน Youtube หรือ Youtube Marketing... คุณไม่จำเป็นต้องใช้เงินเลยสักบาทในการซื้อสื่อ

และต่อให้คุณมีเงินเป็นล้านๆ อยากทำ Youtube Marketing... ผมก็เห็นมีหลายแบรนด์ที่ลงทุนค่าผลิตไปเยอะ แต่ทำออกมาแล้วมีคนดูแค่หลักร้อย หลักพัน ก็มีเยอะแยะไป

เพราะฉะนั้นเกมของ Youtube Marketing จึงเป็นเกมที่ Fair Play ที่สุดคือ เงินไม่ใช่ตัวตัดสินและไม่ใช่แต้มต่อสำคัญ
.
.
.
วันนี้ผมจะไม่พูดถึงศิลปินที่ดังจาก Youtube เพราะเคยกล่าวมาแล้วและมีเยอะ เช่น Room39, ILLSLICK และ จ๊ะ คันหู หรือคนที่ดังจาก Youtube เช่น บี๋ The Ska และโคม ปะการัง

แต่วันนี้เราจะมาดูกันกับรายการที่ดังจาก Youtube ครับ...

ซึ่งผมมองว่ามันยากนะ เพราะถ้าเป็นรายการแล้วมีคนดูเยอะๆ แสดงว่างานคุณดีเทียบเท่าหรือดีกว่ารายการในช่องฟรีทีวีด้วยซ้ำไป
.
.
.
อันดับที่ 1

แน่นอนครับว่า ต่องเป็น VRZO... ผมก็รู้จักรายการนี้จาก Youtube เหมือนกัน จริงๆ เค้าออกในเคเบิลทีวี

VRZO เริ่มเป็นที่สนใจจากคลิปเชียงใหม่ เชิญชมครับ...



และมาดังสุด ตอนคลิปน้องทับทิมเต้น Ma Boy !!!



หลังจากนั้นก็ติดลมบนยาวววว... ได้ข่าวสปอนเซอร์เยอะมากและขายแพงด้วยนะ ไม่ได้ถูกๆ... ต้องขอชมทีมงานทุกคนเลยครับว่า "เก่งมากน้อง คอนเซ็ปรายการดี ทำออกมาได้แหวกแนวดีจริงๆ"

ต่อมาอันดับ 2... ลักษณะเดียวกันกับ VRZO คือออกรายการในช่องเคเบิล แต่เฉยๆ ... มาดังก็จาก Youtube นี่แหละครับ กับรายการเสือร้องไห้

และต้องขอพูดตรงๆ อีกเช่นกัน ว่าผมก็รู้จักรายการนี้จาก Youtube เริ่มจาก...

ทำเพลงเลียนแบบกัมนังสไตล์ แต่ทำเป็นกำนันสไตล์ ฮามาก



ตอนนี้ก็จะ 24 ล้านวิวแล้ว สุดยอด... ไม่พอครับ เค้ายังเกาะกระแสแรงเงาด้วยความคิดสร้างสรรค์สุดเจ๋ง



และอันดับสุดท้ายที่ผมว่ามาแรงมากๆ และขอชื่นชมจริงๆ ว่าทีมงานทำได้ดีมากกับรายการ iScream ผ่านเวบไซด์ ihere.TV ซึ่งหาดูได้จาก Youtube เช่นกันครับ



รายการแรกออกแนวบุกบ้านผี... ฮาๆ เกรียนๆ ซึ่งก็มีคนติดตามกันเยอะ และที่ผมประทับใจคือ... อีกรายการของ ihere.TV มาดูกันครับ ฮามากมายจริงๆ



ทั้งหมดคือ ตัวอย่างของกระแสรายการยุคใหม่ครับ... ที่อีกไม่นานคงเป็นที่นิยมมากกว่ารายการฟรีทีวีที่ไม่ปรับปรุงตัวอย่างแน่นอน

เท่าที่ดูมาทั้งหมด สังเกตเห็นอะไรไหมครับ... ผมว่าหลักของ Youtube Marketing ถ้าจะทำให้ดังละก็ มีดังนี้ครับ...

1.) ต้องกล้าที่แหวก กล้าที่จะทำ กล้าที่จะเพี้ยน

2.) ต้องมีลูกฮาเยอะๆ

3.) อยากดังเปรี้ยงๆ ต้องเกาะกระแสเป็น และทำออกมาได้ในแบบฉบับของตัวเอง

4.) รายการต้องสดใหม่ ไม่ซ้ำทางใคร

5.) พิธีกรสำคัญมาก ต้องมีคาแรกเตอร์ขายได้ คนชอบ คนจำได้
.
.
.
หลักๆ ก็ประมาณนี้ครับ กับ Youtube Marketing ใครสนใจก็ลองดูได้เลย...

"คิดให้แหวก ทำให้แปลก" ... คุณก็สำเร็จได้จาก Youtube Marketing ครับ ^^

Wikran M.



ติดตามบทความของผมต่อได้ทุกวันที่... 




วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ฉลอง 100,000 Views แรก ... ด้วย Top 10 สิบบทความคร้าบบบ

ในที่สุดบล๊อก Marketingforexp. ก็มียอด Views ครบ 100,000 แรก...

ก่อนอื่นก็ขอขอบคุณทุกๆ ท่านมากๆ ครับที่ติดตาม...

และเพื่อเป็นการฉลอง ผมจึงขอนำเสนอ 10 บทความที่มียอดคนดูสูงสุดจากบทความทั้งหมดของผมครับ ^^
.
.
.
อันดับที่ 1 ได้แก่ ... "Pub Marketing: อยากเปิดผับให้ดัง ทำยังไง"
อันดับที่ 2 ได้แก่ ... "Mantra Marketing: เพลินวาน (หัวหิน), Primo Posto & Palio (เขาใหญ่) และศรีพันวา (ภูเก็ต)"
อันดับที่ 3 ได้แก่ ... "โออิชิ วุฒิศักดิ์ บ้านไร่กาแฟ... S.F. Awards Part II"
อันดับที่ 4 ได้แก่ ... "Sometimes Fail Awards: 10 Brands ... ภาค 1/3"
อันดับที่ 5 ได้แก่ ... "ควายทอง: จากแบรนด์ Underdog สู่ Well-Known Local Brand"
อันดับที่ 6 ได้แก่ ... "ยากูซ่า ... ชาคูลล์ซ่า ... Chakuza"
อันดับที่ 7 ได้แก่ ... "BLACK MARKETING by ไมเคิล ซาเฟล"
อันดับที่ 8 ได้แก่ ... "น้ำทิพย์: Green Marketing "เลือก ดื่ม บิด" ใครได้ ใครเสีย"
อันดับที่ 9 ได้แก่ ... "Celebs ออนไลน์... 5 ซุปตาร์ในวงการ"
อันดับที่ 10 ได้แก่ ... "แบรนด์ Brands ... คนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ซื้อ"
ก็จบกันไปแล้วกับ 10 บทความที่มียอดผู้ชมสูงสุดนะครับ... ลองติดตามอ่านกันดูครับ

ผมยินดีมากและเป็นกำลังใจที่ดีมากๆ ในการเขียนบล๊อกของผมครับ
.
.
.
ก่อนจากก็ขอแนะนำผลงานเขียนเรื่องราวการตลาดของผม ดังนี้ครับ

Year 2006 - ตอนนั้นกำลังศึกษาป.โท ด้านการตลาดอยู่ที่ Australia ผมก็ได้เริ่มเขียนบล็อกแรกในชีวิตก็คือ ... บล๊อก MarKeTing InDeeD หรือ Marketingindeed.exteen.com ครับ

Year 2012 - เขียนหนังสือการตลาดเล่มแรกในชีวิต "Marketing for Work... งานตลาด" ล่าสุดก็พิมพ์ครั้งที่ 3 แล้วครับ

Year 2012 - เขียนเรื่องเล่าการตลาดผ่าน Facebook.com/MarKeTingInDeeD ครับ
.
.
.
ปีหน้า ฤกษ์งาม ยามดี... คงมีหนังสือการตลาดมันส์ๆ เล่มที่ 2 ตามมาครับ... ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามครับ ^^

Wikran M.


ติดตามบทความของผมต่อได้ทุกวันที่... 





วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Service Marketing: แบรนด์ MK สุกี้ Vs 7-11

ในบ้านเรา แบรนด์ที่ผมจัดว่ามีการบริการที่ดีเยี่ยมที่สุดและต่อเนื่องที่สุด

ก็คือ แบรนด์ MK สุกี้ หรือชื่อเต็มๆ คือ MK Restaurants
ย้อนกลับไปกว่า 20 ปีที่แล้ว แล้วมีการสู้กันของแบรนด์สุกี้อยู่ 2 แบรนด์ใหญ่ นั่นก็คือแบรนด์ MK และ แคนตัน

ผมจำได้ว่า ไปเดินเดอะมอลล์ บางกะปี ยุคเปิดใหม่ๆ ... MK และแคนตัน สู้กันอยู่ในห้างเดียวกัน... ยุคนั้นใครก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "แคนตัน อร่อยกว่า MK เยอะ" ... และก็จริงอย่างนั้นด้วย ผมว่า แคนตันทั้งซุปในหม้อและน้ำจิ้มกินขาด MK ไปหลายขุม

ซึ่งถ้าชนกันเรื่องความอร่อยจริงๆ MK ยังแพ้แบรนด์อื่นๆ อีกหลายแบรนด์ เช่น แคนตัน นีโอ หรือแม้แต่สุกี้ห้องแถว

แต่ MK ก็ใช้กลยุทธ์การตลาด โดยเน้นการโฆษณาทีวี... ซึ่งเกือบทุกแคมเปญก็จะมีพนักงานร้านเข้าร่วมและมีเพลงประกอบ (เพลงน่ารัก จำง่าย) เพื่อบ่งบอกถึงความตั้งใจจริงในการให้ "บริการที่ดีเยี่ยมของ MK"


และโฆษณาที่โด่งดัง... จนคนทั้งประเทศจำได้ขึ้นใจกับประโยค "กินอะไรๆๆ ไปกิน MK"



ก็ทำต่อเนื่องมาเรื่อยๆ ... จนคู่แข่งหลักสู้ไม่ได้... ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนให้น้ำหนักกับ "การบริการที่ดี" มากกว่า "ความอร่อย" ครับ

และที่ผมนับถือที่สุดคือ การให้พนักงานเต้นในร้าน ประมาณว่า "ให้ลูกค้ามีความสุข สนุกสนาน ให้พนักงานดูอารมณ์ดี และแสดงให้เห็นว่า MK สนับสนุนการออกกำลังกาย" ... แต่ถ้ามองในมุมการตลาดให้ลึกเข้าไป ก็คือ การสร้างกระแส MK โดยไม่ต้องใช้เงินสักกะบาท ... ล้ำลึกสุดยอดมากๆ ครับ



ตอนนี้ MK ก็เป็นแบรนด์สุกี้อันดับ 1 ในเมืองไทย และคงเป็นไปอีกนาน... เพราะแบรนด์แข็งแรงมากและทิ้งห่างคู่แข่งแบบไม่เห็นฝุ่น และที่ผมชอบที่สุดคงเป็นเรื่องที่ MK โฆษณา แล้วไปที่ร้านก็บริการดีอย่างนั้นจริงๆ ซะด้วย ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา... ผมต้องขอชมจริงๆ ว่ารักษามาตรฐานของการบริการได้อย่างดีเยี่ยมทุกครั้งที่ผมไปทานครับ
.
.
.
พอพูดถึงเรื่องการบริการที่ดีเยี่ยมและความต่อเนื่องแล้ว... ผมค่อนข้างผิดหวังกับ 7-11 ในยุคใหม่... พนักงานบริการได้แย่ลงมาก... ผมพยายามเข้าใจว่า เพราะ 7-11 ตอนนี้ขายเป็นระบบแฟรนไชส์ซะส่วนใหญ่ จึงอาจควบคุมคุณภาพการบริการได้ยาก (คือไม่ได้เป็นของ 7-11 ลงทุนทำร้านเอง แต่เป็นคนที่ซื้อแฟรนไชส์มา แล้วบริหารเอง)... แต่นั่นมันก็เรื่องภายในของเค้า ไม่เกี่ยวกับการบริการลูกค้า

ผมเจอบ่อยมาก... หน้าบูดหน้าบึ้ง ทำเสียงรำคาญ หรือลูกค้าถามก็ยุ่งกับการจัดร้านตลอดเวลา... ไม่เหมือนยุคก่อนๆ ที่บริการน่ารัก รู้สึกได้เลยว่า พนักงานทุกคนยินดีให้บริการ

หรือวันนี้ 7-11 ครองประเทศไทยแล้ว จึงไม่ใส่ใจกับคุณภาพการบริการ !!!

หรือวันนี้ 7-11 ไม่มีคู่แข่งแล้ว จึงไม่ใส่ใจกับคุณภาพการบริการ !!!

หรือวันนี้ 7-11 ให้ความสำคัญกับการขยายร้านค้า เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ จึงไม่ใส่ใจกับคุณภาพการบริการ !!!

หรือวันนี้ 7-11 ให้ความสำคัญกับการลดต้นทุน สร้างผลกำไร จึงไม่ใส่ใจกับคุณภาพการบริการ !!!

อย่างไรก็ตาม ผมบอกได้เลยครับว่า ถ้า 7-11 ยังไม่ฉุกคิดและควบคุมการบริการลูกค้าให้กลับมาดีเหมือนเก่า ต่อให้เป็นยักษ์ใหญ่แค่ไหน ก็ล้มได้ ... เพราะยุคนี้ผู้บริโภคเป็นคนตัดสินครับ และถ้าเกิดมีแบรนด์ Convenience Store แบรนด์ไหน เห็นช่องที่ 7-11 เปิดให้จู่โจมแล้วละก็ ... รีบๆ บุกกันเลยครับ เพราะผมรับรองว่า คุณจะได้ลูกค้ามาอีกเพียบแน่นอน !!!

แต่ใจลึกๆ ก็หวังว่า 7-11 จะกลับมาบริการดีเหมือนเก่านะครับ เพราะเห็นกันมานาน ไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย ... ไม่อยากให้เน้นแต่โฆษณาและโปรโมชั่นเท่านั้น เข้าใจครับว่ามันง่ายที่ทำจาก Head Office กระจายสื่อไปทั่วประเทศ แล้วดึงคนเข้าร้านโดยอัตโนมัติ... แต่อย่าเปลี่ยนจุดแข็งให้เป็นจุดอ่อนเลยครับ... เพราะผมเห็นแบรนด์ที่ทำแบบนี้ เจ๊งมาเยอะแล้ว
.
.
.
สุดท้ายผมขอฝากเอาไว้ว่า การบริการหรือ Service เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ในยุคนี้... เป็นการทำตลาดที่ลงทุนไม่มาก แต่ทำยากมากๆ หากไม่ใส่ใจหรือตั้งใจทำจริงครับ... ทางที่ดีควรจ้างมืออาชีพมาฝึกสอนพนักงานเลย ก็จะเร็วกว่าและดีกว่าคิดเอง ลองเอง ทำเองมากครับ เชื่อผมสิ ^^

Wikran M.

ติดตามบทความของผมต่อได้ทุกวันที่... 



วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Coffee Shop Marketing: ทำร้านกาแฟยังไง ให้สำเร็จ !!!

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนที่สนับสนุนหนังสือ Marketing for Work... งานตลาด ครับ 

ตอนนี้ก็พิมพ์ครั้งที่ 2 เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ ^^ 
.
.
.
 มาเข้าเรื่องกันดีกว่า... 


วันนี้ผมจะมากล่าวเรื่องการเปิดร้านกาแฟยังไงให้สำเร็จกันหน่อย...


ผมมีเพื่อนหลายคนที่เปิดร้านกาแฟ รวมไปถึงรู้จักเจ้าของร้านกาแฟที่เริ่มจากเล็กๆ จนตอนนี้ ขยายใหญ่โต !!!


ผมสนใจธุรกิจร้านกาแฟ... เพราะแฟนผมอยากเปิดมากๆ แต่ก็กลัวจะไปไม่รอด

เพราะมีเพื่อนสนิทของเค้าที่ทำ... เปิดได้เพียง 3 เดือน ก็ต้องปิดตัวลงไป

เมื่อผมได้ฟังเรื่องราวก็พอสรุปได้ว่า... "ทำเลและการทำร้านไปกันไม่ได้"

คือ เพื่อนคนนี้ รู้ว่ามีที่ว่างในตลาด... ก็เลยไปจอง แล้วก็ขายแบบร้านกาแฟรุ่นใหม่

มีครบหมด ทั้งคาปูฯ เอสเพรสโซ่ ลาเต้ ฯลฯ... ขายอยู่แก้วละ 40 - 50 บาท

ไปเจอคู่แข่งหลัก เป็นกาแฟโบราณที่ขายมานาน แก้วละ 10 - 15 บาท

แล้วจะไปสู้ได่ยังไง ???

อันนี้ ก็เป็นประสบการณ์ธุรกิจส่วนตัวจริง... ที่ต้องเรียนรู้และกล้าแกร่งขึ้นกันต่อไป

และผมก็มีโอกาสได้คุยกับเพื่อนอีกหลายคน ที่เปิดร้านกาแฟขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลาง ซึ่งมีกำไรดีพอสมควร บางร้านได้เดือนละเกินครึ่งแสน...

ก็เลยสามารถสรุปประเด็นสำคัญๆ และนำมาเรียงเป็นลำดับความสำคัญ (Priority) ของการทำร้านกาแฟให้สำเร็จ ดังนี้ครับ 1.

1.) Place: สิ่งที่ต้องดูอันดับแรกเสมอคือ ทำเล สถานที่ -  ต้องเป็นย่านออฟฟิส ในห้าง ย่านผู้คนเยอะ ถ้าผู้คนน้อย ต่อให้กาแฟดีแค่ไหน ก็สำเร็จยาก


2.) Product: รองลงมาคือ รสชาติกาแฟ - ในข้อนี้คนที่เปิดร้านต้องไปเรียน ไปเข้าคอร์สสอนทำกาแฟ ซึ่งมีเปิดสอนอยู่เยอะ ถ้าไม่เรียน... ทำเองเลย คงไม่เวิร์คแน่นอนครับ 

3.) Physical Evidence: ต่อมาคือ สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ - สำหรับร้านกาแฟ ก็จะเน้นไปที่การตกแต่งร้าน บรรยากาศร้านเป็นสำคัญ 

4.) Price: ราคา เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน - แต่ส่วนใหญ่จะเป็นไปตามราคาของย่านที่เราไปเปิดอยู่แล้ว ซึ่งถ้าขายราคาแพงมากกว่าร้านอื่น แต่ไม่มีอะไรเด่น ก็จะไม่มีคนซื้อ 

5.) People: คน หมายถึงพนักงานที่ให้บริการ - ส่วนใหญ่ถ้าเปิดร้านเดียว เจ้าของจะมาดูเองและจ้างเด็กมาช่วย ซึ่งเจ้าของร้านมีความสำคัญเช่นกัน เพราะคนจะชอบรู้จักหรือพูดคุยกับเจ้าของร้านอยู่แล้ว ถ้าสนิทกัน ก็จะไม่ค่อยไปซื้อกาแฟร้านอื่น 

6.) Promotion: โปรโมชั่น - ลด แลก แจก แถม เช่น คูปอง 10 แก้ว แถม 1 แก้ว เป็นต้น แต่จะทำโปรโมชั่น ไปลดราคามากก็ไม่ได้ เพราะจะทำให้ขายราคาเต็มลำบากในระยะยาว ร้านกาแฟจึงไม่ค่อยเน้นโปรโมชั่นสักเท่าไหร่ 

7.) Process: ขั้นตอน - ส่วนใหญ่จะหมายถึงการทำกาแฟที่รวดเร็ว ไม่ต้องให้ลูกค้ารอนาน... อันนี้ถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุดที่ร้านกาแฟต้องมี 

รวมทั้งหมดก็คือ 7Ps หรือส่วนผสมการตลาดในยุคปัจจุบัน ที่น่าสนใจครับ 

ใครที่อยากเปิดร้านกาแฟก็ลองศึกษาให้ครบ P ทั้ง 7 ตัวนี้ โดยแนะนำว่า... ควรให้ความสำคัญตามลำดับที่จัดเรียงไว้ให้ครับ 

ส่วนเคล็ดลับที่คนสำเร็จเค้าสามารถขยายร้านค้าออกไปได้หรือขายเป็นแฟรนไชส์ได้ก็คือ... การสร้างแบรนด์ (Branding) ครับ... 

ซึ่งการสร้างแบรนด์เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและสำคัญมาก เจ้าของธุรกิจจึงต้องดูดีๆ จะให้ดี... ถ้าร้านเริ่มอยู่ตัว เริ่มมีกำไรสะสมมากพอ ผมแนะนำว่าจ้างที่ปรึกษาด้านแบรนด์... มาช่วยสร้างแบรนด์จะดีที่สุดครับ
.
.
.
แต่ถ้าเป็นผมเปิดเอง (แบบไม่เกรงใจใคร) ... ผมจะนำคอนเซ็ปสุดเฉียบของต่างประเทศมาประยุกต์ใช้ แบบเน้นที่ People หรือเด็กเสิร์ฟเป็นหลักแบบนี้คร้าบ ^^

แล้วพบกันใหม่ เร็วๆ นี้ครับ
Wikran M,

ติดตามบทความของผมต่อได้ทุกวันที่... 



วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ฟุ้ง IDEA #2: ธุรกิจ เกา เกา เกา

วันนี้ ระหว่างที่ผมขับรถกลับบ้าน... เกิดอาการคันหลังขึ้นมายิกๆ

จะเกาก็ลำบาก... ขับไป หงุดหงิดไป จนต้องเข้าปั๊มเพื่อแวะ "เกาให้ถูกที่คัน"

และแล้วไอเดียผมก็บรรเจิดขึ้นอีกครั้ง ระหว่างขับกลับบ้าน
.
.
.
บ้านเรามีร้าน ทั้งร้านนวดเท้า นวดหน้า นวดตัว... จนถึงนวดแบบพิเศษ

คืออะไรบนตัวคนที่นวดได้... สามารถนำมานวดได้หมด ขายได้หมด

แล้วทำไมไม่มีร้านบริการ "เกา" บ้าง... เพราะการเกา ถ้าเกาดีๆ เกาเป็น เกาถูกจุด มันก็เพลินดีนะ

จะเกาหัว เกาหลัง เกาแขน เกาขา เกาเท้า... จัดไป น่าจะเพลินหมด
.
.

ซึ่งถ้าใส่ Marketing เข้าไปหน่อย ก็ต้องเริ่มจาก... Story ที่มาที่ไปก่อน 

เช่น ที่เทือกเขาตะนาวศรี มีเคล็ดวิชาการเกาที่สืบทอดกันมายาวนาน แต่เพิ่งมาเปิดเผย... โดยใครที่ถูกเกา จะรู้สึกผ่อนคลาย เลือดลมวิ่งปรื๊ด ผิวหนังเปล่งปลั่ง ซาบซ่านทั่วร่างกาย ฯลฯ

สร้างภาพประกอบขึ้นมา... ให้ดูน่าเชื่อถือ !!!
 เกาหัว
เกาหลัง

และจะสุดยอดมากๆ ถ้ามีนักวิชาการ มายืนยันการ "เกาให้ถูกที่" และทำเป็นรูปธรรม... แบบนี้ !!!

อันนี้ ก็จะเปิดร้านเกาแบบ Mass ได้ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก ผู้ใหญ่ คนชรา จัดได้หมด... ด้วยคอนเซ็ปนี้
.
.
แต่ถ้าเล็งกลุ่มเป้าหมายเป็น... ท่านชายขี้คันละก็... ต้องจัดคนเกาหน้าตาดีหน่อย เล็บสวยๆ เกาไป สะท้านสะเทือนทั่วร่างไปเลย ฮา
สุดท้าย... ถ้าอยากลดความเสี่ยงก็เอา "การเกา" ทำเป็นบริการเสริมของร้านนวดไปก่อน...

และรอดูผลตอบรับของลูกค้า... นี่แหละครับ ที่เค้าเรียกว่า "Product Development Strategy - กลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์" ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายจากผลิตภัณฑ์ใหม่ในลูกค้ากลุ่มเดิม 
(หาอ่านเพิ่มเติมได้จากหนังสือ Marketing for Work... งานตลาด นะครับ Tie-In ซะหน่อย อิอิ)

แต่ที่ชัวร์ๆ ได้แน่ๆ ก็คือ ความแปลก สด ใหม่... ซึ่งผมเชื่อมั่นมาก ว่าจะมีคนมาลอง (อย่างน้อยก็ผมนี่แหละ หนึ่งคน)
.
.
.
ใครจะไปรู้... ต่อไปอาจจะมีร้านแนวเกาๆ ออกมาจริงๆ ก็ได้ 

และแล้วก็ขับรถมาถึงบ้าน... ตอนจอดรถ ความคิดสุดท้ายก็ได้ฟุ้งขึ้นมา... ถ้าคนเกาใส่ธีมแม่เสือสาวด้วย ถ้าจะเวิร์คแน่นอน แบบที่หนุ่มๆ "ไม่มาเกา ไม่ได้แล้ว"... แบบนี้เลย... ราตรีสวัสดิ์คร้าบ ^^


แล้วพบกันใหม่ เร็วๆ นี้ครับ
Wikran M.


ติดตามบทความของผมต่อได้ทุกวันที่... 



วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Radio Business Marketing: การตลาดธุรกิจวิทยุ... บ้านเรา


สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้เราจะมาดูเรื่องการตลาดของธุรกิจวิทยุกันหน่อยนะครับ

เผื่อท่านไหนกำลังสนใจเรื่องนี้อยู่... จะได้นำไปประยุกต์ใช้ทำงานได้

มาเริ่มกันเลยครับ... 

ธุรกิจวิทยุเป็นธุรกิจที่ปัจจุบัน มีรายได้หลักมาจาก 2 ทาง

1.) จากค่าโฆษณา สปอนเซอร์

2.) จากการขายสินค้าตรง ถึงกลุ่มผู้ฟัง
ซึ่งส่วนใหญ่คลื่นวิทยุทั่วไปจะเน้นทางแรกคือ การหาค่าโฆษณา สปอนเซอร์

ส่วนทางที่สองจะเป็นวิทยุชุมชน ที่มีแฟนคลับเฉพาะกลุ่มติดตามอยู่

ผมขอกล่าวถึงทางที่สองก่อนนะครับ นั่นก็คือ รายได้จากการขายสินค้าตรง...

ผมมีเพื่อนทำโรงงานผลิตอาหารเสริมคนหนึ่ง เค้าได้เล่าให้ผมฟังว่า...

มีพี่ที่เป็นลูกค้าทำวิทยุท้องถิ่นอยู่ เปิดเพลงไทยและจีนโบราณสลับกันทั้งวัน

โดยกลุ่มคนฟังจะเป็นคนที่มีอายุมาก พี่เค้าก็เลยสั่งน้ำมันรำข้าวมาขาย...

ปรากฏว่า ขายดีเหลือเชื่อ เฉลี่ยเดือนละเป็นล้านๆ...

ซึ่งพนักงานมีแค่เค้ากับภรรยา... และจ้างวินมอเตอร์ไซด์ไปส่งของตามบ้าน

ทำไมถึงสำเร็จ ???... ก็เพราะสินค้าที่เค้านำมาขายตรง ตรงกับกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจน

คือกินแล้ว สุขภาพดี แข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ... พูดทุกวัน ฟังทุกวัน ไม่เคลิ้มก็ให้รู้ไป !!!
.
.
.
ย้อนกลับมาที่ทางแรกครับ คือ รายได้จากค่าโฆษณา สปอนเซอร์

ผมเป็นคนหนึ่งที่มักจะมีคลื่นวิทยุเข้ามานำเสนอ ให้ลงโฆษณาบ่อยๆ...

ก็มีที่สนใจบ้างและไม่สนใจบ้าง... เกณฑ์ที่ผมใช้พิจารณามีดังนี้ครับ

คลื่นดังไหม (ผมรู้จักไหม ถ้าไม่รู้จักมี Rating มาให้ดูไหม)

คลื่นมีกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มไหน (ตรงกับแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ของผมไหม)

ราคานำเสนอรับได้ไหม (มีแพ๊คเกจมาเสนอไหม ส่วนลดเท่าไหร่)

ผมดูง่ายๆ แค่ 3 ข้อนี้ครับ... ส่วนเรื่องอื่นๆ แทบจะไม่ได้ฟังเลย

ซึ่งถ้าเพื่อนๆ เพิ่งเริ่มทำธุรกิจวิทยุและหวังที่จะหารายได้จากค่าโฆษณาและสปอนเซอร์แล้วละก็

จะเห็นได้เลยว่า... ช่วงแรกจะขายสปอต ขายแพ๊คเกจ ยากมาก ทั้งเข้าลูกค้าโดยตรง...

หรือผ่าน Media Agency !!!

เพราะลูกค้าจะไม่ค่อยสนใจ... ขนาดขอเข้าไปเจอ ถ้าไม่รู้จัก หรือยุ่งๆ อยู่ ก็ไม่ได้เจอครับ

ดังนั้นผมพูดได้เลยว่า การทำตลาดในธุรกิจวิทยุ ช่วงแรกจะหืดมาก... แต่ก็ไม่ใช่จะไม่มีทางแก้

โดยผมได้คุยกับเพื่อนๆ น้องๆ ที่สนิทกัน ที่เค้าดูคลื่นวิทยุอยู่ พอสรุปแนวทางช่วงแรกได้ดังนี้ครับ


1.) กรณีมีเงินทุน... ให้เปิดตัวดีๆ เชิญสื่อเยอะๆ และจ้างเซเลบหรือคนดังมาเป็นดีเจ 

     เพื่อให้เป็นกระแสข่าว รวมถึงไป Bartering (แลกสื่อ) กับสื่ออื่นๆ เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อป้ายโฆษณา 
     
     สื่อทีวี... ซึ่งจะช่วยเป็นอย่างมากในการขายช่วงแรก เพราะลูกค้าจะรู้จักและสนใจ

2.) กรณีเงินทุนน้อย... ช่วงแรกต้องเน้นที่ AE หรือพนักงานขาย ที่มี Connection ดีๆ กับลูกค้าและ 

     Media Agency เพราะพวกนี้เค้าจะรู้ทางกันดี คอยช่วยเหลือกันอยู่... ก็จะขายได้บ้าง 

     แต่อาจจะถูกกดราคาไปพอสมควร แต่ก็ต้องยอมครับ... และเร่งสร้างกลุ่มคนฟังและชื่อเสียงโดยไว


แต่ไม่ว่าจะมีเงินทุนเยอะหรือน้อย... สิ่งที่ธุรกิจวิทยุสมัยนี้ต้องมีคือ การสร้างแบรนด์ ครับ

ซึ่งก่อนจะสร้างแบรนด์ ต้องดูกันเรื่องกลุ่มเป้าหมายก่อน ซึ่งทำคลื่นวิทยุ กลุ่มเป้าหมายต้องชัดเจนมากๆ

เช่น วัยรุ่น, คนทำงาน, คนต่างจังหวัด, คนรักกีฬา เป็นต้น... แล้วจึงนำมาสร้างแบรนด์ 

ให้มีบุคลิกภาพ (Personality) ที่กลุ่มคนนั้นๆ ชื่นชอบ... 

***สร้างแบรนด์ยังไง หาอ่านได้ในหนังสือ Marketing for Work… งานตลาด นะครับ ^^

Seed (97.5 FM) --- > วัยรุ่น

Green Wave (106.5 FM) --- > คนทำงาน

ลูกทุ่งมหานคร (95.0 FM) --- > คนต่างจังหวัด (คนฟังลูกทุ่ง)

Active Radio (99.0 FM) --- > คนรักกีฬา
Print Ads เท่ๆ ของ Seed บ่งบอก ภาพลักษณ์ของแบรนด์เป็นอย่างดี

ยิ่งไปกว่านั้น สมัยนี้ถ้ามีกลุ่มแฟนคลับแล้ว ต้องมีการจัด กิจกรรม (Activity)” ด้วย เช่น 

จัด Meet & Greet จัดคอนเสริต์ จัดทัวร์ท่องเที่ยว... เพราะส่วนหนึ่งคลื่นวิทยุสามารถนำกิจกรรมเหล่านี้ 

ไปเสนอต่อลูกค้าได้ และถือเป็นการเช็ค Rating แฟนคลับของจริงไปพร้อมๆ กันด้วย
มหกรรมคอนเสิร์ตแรงงานไทย กำลังใจเคียงข้างคุณ ของลูกทุ่งมหานคร

สุดท้ายผมก็ขอฝากไว้ อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทำคือ  การตลาดออนไลน์ครับ ทั้ง Website และ 

Social Network ต่างๆ เช่น Facebook และ Twitter… ควรจะต้องมีด้วยนะครับ... เพราะเราสามารถใช้

เนื้อหา (Contents) เดิม แต่สามารถกระจายไปช่องทางอื่นๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มคนฟังให้กว้างขึ้น และสามารถ

นำไปใช้ประกอบการขายลูกค้าได้ด้วย เช่น มี Fanpage Facebook ที่มีคนตามหลักแสน 

ใครฟังก็หูผึ่งและสนใจแน่นอนครับ...
Fanpage ของ Greenwave มีคนตามเป็นแสนครับ

ก็ประมาณนี้ครับ... ผมหวังว่าบทความนี้คงมีประโยชน์กับท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะคับ ^^

Wikran M.  


ติดตามบทความของผมต่อได้ทุกวันที่...